| จงใจลงลายมือชื่อในเช็คไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้แก่ธนาคารจะมีผลอย่างไร | 
|---|
| การที่ผู้ลงลายมือชื่อในเช็คได้จงใจลงลายมือในเช็คให้แตกต่างกับที่ให้ไว้แก่ธนาคาร  ย่อมเป็นเหตุให้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินให้แก่ผู้ทรงเช็คหรือผู้ที่ถือเช็คไว้อย่างแน่นอน  แต่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 หรือไม่  ซึ่งจากพฤติการณ์ทำให้เห็นว่าผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  เนื่องจากรู้ว่าตนไม่มีเงินจ่ายให้แก่ผู้ทรงเช็ค จึงเป็นการออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชี  จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค  พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 | 
| ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า  จำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่ผู้เสียหาย 2 ฉบับ เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรก  สั่งจ่ายเงิน 500,000 บาท ฉบับที่สองสั่งจ่ายเงิน 550,000 บาท  เช็คทั้งสองฉบับลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2548  เมื่อถึงวันดังกล่าวผู้เสียหายนำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า  ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้  คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า  จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 หรือไม่ เห็นว่า  จำเลยเบิกความยอมรับว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับ  จำเลยลงลายมือชื่อมอบให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้ค่าแชร์และเป็นหนี้เงินกู้ยืมผู้เสียหายรวมเป็น  1,050,000 บาท และได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจริง สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวลงวันที่ 3  พฤศจิกายน 2547 กำหนดชำระเงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยคืนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2548  แต่เบิกความปฏิเสธว่า เช็คพิพาทที่จำเลยมอบให้โจทก์นั้น จำเลยไม่ได้ลงวันที่ในเช็ค โจทก์มีผู้เสียหายและสิบตำรวจเอกศิริ เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า  เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระหนี้วันที่15 กุมภาพันธ์ 2548 จำเลยไม่มีเงินชำระ  แต่ได้ออกเช็คพิพาท 2 ฉบับ ให้แก่ผู้เสียหายไว้เป็นการชำระหนี้ จำเลยลงลายมือชื่อ  จำนวนเงินแต่ยังไม่ได้ลงวันที่ออกเช็ค ต่อมาจำเลยพูดคุยตกลงกับผู้เสียหาย  จำเลยจึงได้ลงวันที่เช็คทั้งสองฉบับ เป็นวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2548 ต่อหน้าตน  เท่ากับว่าผู้เสียหายยอมให้จำเลยเลื่อนวันชำระหนี้ แต่เมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนดผู้เสียหายนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  โดยให้เหตุผลว่า ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้  ผู้เสียหายและสิบตำรวจเอกศิริไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยไม่น่าระแวงว่าเบิกความปรักปรำจำเลย  คำเบิกความมีน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อพิจารณาประกอบกับวันที่ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับ  จำเลยเขียนเลขอารบิก วันที่ 20 กับเดือน 2 ก็ยังเขียนต่างกัน  แม้จำเลยมีพันตำรวจเอกสมชาย เบิกความเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญได้ความว่า  ตัวเลขอารบิกในช่องวันสั่งจ่ายรูปลักษณะแตกต่างกัน ลายเส้นแตกต่างกัน  เป็นลายมือชื่อของคนละคน แต่พยานได้ตอบโจทก์ถามค้านว่า  โดยปกติบุคคลสามารถดัดแปลงการเขียนแต่ละครั้งได้เหมือนกัน  จึงเป็นไปได้ว่าจำเลยจงใจเขียนเช็คทั้งสองฉบับด้วยการลงลายมือชื่อในเช็คไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้แก่ธนาคารและจงใจเขียนตัวเลขอารบิก  เลข 2 ให้แตกต่างกันอีก พฤติการณ์ดังกล่าวส่อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  เนื่องจากจำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีเงินในบัญชีของธนาคารดังกล่าวการกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น  พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า  จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับสั่งจ่ายจำนวนเงิน 500,000 บาท และจำนวนเงิน 550,000  บาท เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย  โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค  อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา  4 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดและลงโทษจำเลยมานั้น  ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น |