| นิติกรรมที่เจ้าหนี้สามารถเพิกถอนนิติกรรมได้นั้น  จะต้องเป็นนิติกรรมที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แล้วคำว่า เสียเปรียบนั้น  หมายความว่าอย่างไร ซึ่งขออธิบายว่า คำว่าเสียเปรียบจะต้องเป็นกรณีที่ทำให้ ลูกหนี้มีทรัพย์สินไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้ ตามประเด็นดังกล่าวนั้น  มีกฎหมายกำหนดไว้ใน มาตรา 237  แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า
 มาตรา 237   เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้
 บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน
 ตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้น  กำหนดให้นิติกรรมที่เจ้าหนี้สามารถเพิกถอนได้นั้น มีจำแนกออกเป็น ๒ จำพวก คือ  นิติกรรมที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบโดยมีค่าตอบแทน และนิติกรรมที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบโดยไม่มีค่าตอบแทน  โดยมีหลักเกณฑ์แตกต่างกัน  ซึ่งที่นิติกรรมที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบและมีค่าตอบแทนนั้น  การที่จะเพิกถอนได้จะต้องพิสูจน์ให้ได้ความว่า ลูกหนี้รู้ว่าทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบและต้องพิสูจน์ว่า  บุคคลภายนอกรู้ว่าทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ จึงจะสามารถเพิกถอนนิติกรรมได้ ส่วนนิติกรรมที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบโดยไม่มีค่าตอบแทน  เพียงแต่พิสูจน์ให้ได้ความว่า ลูกหนี้ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบก็เพียงพอแล้ว  ไม่ต้องพิสูจน์ถึงว่า บุคคลภายนอกรู้ว่าการทำนิติกรรมกับลูกหนี้นั้น  ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
 |