| เป็นทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกัน   หรือเป็นผู้ที่เจ้ามรดกแต่งตั้งให้แกเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม  ก็ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก  เจ้าหนี้กองมรดกสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกได้  แต่มีเงื่อนไขว่า  จะต้องไม่มีทายาท และผู้จัดการมรดกเลย  เป็นต้น   ดังนั้น   ผู้ที่จะร้องขอเป็นผู้จัดการต่อไปได้นั้น   จะต้องเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดก หรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกด้วย  ดังที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้นตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกา
 ตัวอย่างที่  1   แม้ที่ดินและหุ้นจะได้มาในระหว่างโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ตาย  แต่เมื่อโจทก์กับผู้ตายไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน  ที่ดินและหุ้นดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส อันจะถือเป็นสินสมรส  ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1474 (1) แม้ศาลจะมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายก็ฟังข้อเท็จจริงเพียงว่า  เมื่อโจทก์เป็นภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย โจทก์อาจมีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมกันในทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกับผู้ตายจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะขอตั้งผู้จัดการมรดกได้  ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงในเรื่องการมีส่วนได้เสียเพียงเพื่อวินิจฉัยว่า  โจทก์มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและควรตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่เท่านั้น  แต่ไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าที่ดินและหุ้นที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งในคดีนี้เป็นทรัพย์สินที่โจทก์ร่วมทำมาหาได้กับผู้ตายหรือไม่  คำพิพากษาคดีดังกล่าวจึงไม่ผูกพันคู่ความให้ต้องรับฟังว่าที่ดินและหุ้นที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งในคดีนี้เป็นทรัพย์สินที่โจทก์ทำมาหาได้ร่วมกับผู้ตายและโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกึ่งหนึ่ง(คำพิพากษาศาลฎีกาที่  12734/2558)
 ตัวอย่างที่  2  ผู้เยาว์เป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ  ผู้แทนโดยชอบธรรมจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก     ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังนี้  แม้ผู้ร้องไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตาย  แต่ขณะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2  ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายกับตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายนั้น  อำนาจปกครอง ณ. อยู่กับผู้ร้องแต่เพียงผู้เดียว ผู้ร้องจึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของ  ณ. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1569  ซึ่งการยื่นคำร้องขอดังกล่าวผู้ร้องมิได้ยื่นในฐานะส่วนตัวแต่ยื่นในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของ  ณ. ในคำร้องขอนั้นนอกจากมีข้ออ้างว่ามีการยักย้ายทรัพย์มรดกของผู้ตายแล้วยังมีข้ออ้างว่าผู้ร้องได้รับคำบอกเล่าว่าแท้จริงผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้  ณ. ไว้ด้วย  ดังนั้นการยื่นคำร้องขอของผู้ร้องจึงเป็นไปตามหน้าที่ของผู้ใช้อำนาจปกครองเพื่อระวังรักษาประโยชน์ของ  ณ. ให้ได้รับทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสิทธิที่แท้จริง  ผู้ร้องในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองของ ณ. จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตาม ป.พ.พ. มาตรา  1713  ที่มีสิทธิจะร้องต่อศาลขอให้ถอนผู้จัดการมรดกหรือขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้(คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2052/2558)
 ตัวอย่างที่  4   แม้ผู้ร้องจะมิได้เป็นทายาทของผู้ตาย  แต่การที่ผู้ตายทำพินัยกรรมตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกย่อมทำให้ผู้ร้องมีหน้าที่ที่จะต้องทำการอันจำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม  และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปหรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก  และอาจต้องรับผิดต่อทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 และ 1720  จึงถือว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกตาม  ป.พ.พ. มาตรา 1713(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6301/2556)
 ตัวอย่างที่ 5  เจ้าหนี้กองมรดกที่จะเป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 1713 นั้น  ต้องเป็นกรณีที่กองมรดกไม่มีทายาทและผู้จัดการมรดก  เพราะหากไม่มีทายาทหรือผู้จัดการมรดกอยู่ตราบใดเจ้าหนี้ก็ไม่มีทางได้รับชำระหนี้เลย  แต่เมื่อกองมรดกมีทายาทร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกแล้วก็มีตัวทายาทที่จะต้องรับผิดชำระหนี้จากกองมรดกให้แก่เจ้าหนี้ได้  ฉะนั้น  เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้ว  จึงมีผู้รับผิดชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ก่อนการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท ไม่กระทบถึงส่วนได้เสียของผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้กองมรดกแต่อย่างใด  ผู้คัดค้านจึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย  ไม่มีสิทธิคัดค้านและขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้(คำพิพากษาศาลฎีกาที่  5008/2545)
 บุคคลที่ไม่อาจะเป็นผู้จัดการมรดกได้  มีดังนี้   ทายาทที่ไม่มีสิทธิรับมรดก   ผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะแม้จะเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกก็ตาม  บุคคลวิกลจริต   หรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ  และบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนล้มละลาย  (มาตรา   1718 )  ทั้งนี้   ทายาทที่มีสิทธิรับมรดก   หากว่ากองมรดกมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน   ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้กองมรดกเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตนเองได้รับ  ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา  1601  บัญญัติว่า  “ทายาทไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตน” ต่อเป็นเรื่องของสิทธิและหน้าที่ของผู้จัดการมรดก    สิทธิของผู้จัดการมรดกนั้น  ไม่มีกำหนดไว้ในกฎหมาย  แต่อาจจะพิจารณาได้จากกฎหมายลักษณะมรดกว่า  ผู้จัดการมรดกมีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมายกฎหมายกำหนดไว้ในอัตราส่วนนั้นๆ  เท่านั้น
 นอกจากนั้น   ผู้จัดการมรดกยังไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างหรือบำเหน็จจากกองมรดก  เว้นแต่ทายาทเสียงข้างมากจะกำหนดให้ไว้( มาตรา 1721)
 หน้าที่ของผู้จัดการมรดก
 1.ผู้จัดการมรดกจะต้องลงมือจัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน  1   เดือน   นับแต่ได้รับการแต่งตั้งให้แก่ผู้จัดการมรดก  แต่ทั้งนี้   หากใกล้ครบกำหนดอาจขอขยายระยะเวลาดังกล่าวได้  ( มาตรา   1728 )   โดยวิธีการจัดทำบัญชีทรัพย์มรดกนั้น   จะต้องกระทำต่อหน้าพยานอย่างน้อย  2  คน   ซึ่งเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกนั้นด้วย  ผู้จัดการมรดกไม่ได้ดำเนินการจัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้   หรือทำบัญชีทรัพย์มรดกไม่เป็นที่พอใจแก่ศาลแล้ว  บุคคลนั้นอาจถูกเพิกถอนออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้(มาตรา  1731 )
 2.ผู้จัดการมรดกต้องทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกให้เสร็จสิ้นภายใน  1  ปี  นับแต่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดก  หรือนับแต่ตามมาตรา  1728  แล้วแต่กรณี  ระยะเวลา   1   ปีนั้น   อาจจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น   ตามที่ทายาทเสียงข้างมากหรือศาลจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  (มาตรา1732)
 3.ผู้จัดการมรดกต้องชำระหนี้โดยใช้ทรัพย์สินของกองมรดกชดใช้หนี้กองมรดกเป็นลำดับดังนี้
 1.ค่าใช่จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกันของกองมรดก  2.ค่าใช้จ่ายในการทำศพเจ้ามรดก3.ค่าภาษีอากรซึ่งกองมรดกค้างชำระอยู่ 4.ค่าจ้างซึ่งเจ้ามรดกค้างชำระแก่เสมียน   คนใช้และคนงาน  5.ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำเป็นประจำวันซึ่งส่งให้แก่เจ้ามรดก  6.หนี้สินสามัญของเจ้ามรดก  7.บำเหน็จของผู้จัดการมรดก (มาตรา  1739)
 ดังนั้น   จะเห็นได้ว่า   การเป็นผู้จัดการมรดกนั้น   มีแต่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อทายาท   ไม่ใช่อย่างที่หลายๆคนเข้าใจว่า   หากเป็นผู้จัดการมรดกแล้วย่อมมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกทั้งหมด    |