สำนักงานกฎหมาย

นพนภัส

ทนายความเชียงใหม่

ออกเช็คชำระหนี้การพนันแม้เช็คเด้งก็ไม่เป็นความผิด

การพนันขันต่อเป็นการทำนิติกรรมสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  กฎหมายจึงไม่รับรองให้เป็นหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย  ไม่ว่าการพนันนั้นจะเกิดจากการเล่นการพนันประเภทใดก็ตาม  ก็ไม่เกิดให้เป็นหนี้ระหว่างผู้เล่นพนันด้วยกันได้  ดังนั้น  หนี้การพนันจึงเป็นหนี้ที่กฎหมายไม่รับรอง  เมื่อเป็นหนี้ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเสียแล้ว  การออกเช็คเพื่อชำระหนี้การพนันจึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมาย  เมื่อเช็คดังกล่าวเด้งหรือธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค  ผู้ออกเช็คก็ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา   เพราะไม่ครบองค์ประกอบของความผิดทางอาญา  และส่วนในทางแพ่งก็เจ้าหนี้ไม่อาจอ้างหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นหนี้ประธานของสัญญาการพนันขันต่อได้

 

หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  853  อันการพนันหรือขันต่อนั้น ท่านว่าหาก่อให้เกิดหนี้ไม่ สิ่งที่ได้ให้กันไปในการพนันหรือขันต่อก็จะทวงคืนไม่ได้ เพราะเหตุหามูลหนี้อย่างหนึ่งอย่างใดมิได้

วรรคสอง  ข้อบัญญัติที่กล่าวนี้ ท่านให้ใช้ตลอดถึงข้อตกลงเป็นมูลหนี้อย่างหนึ่งอย่างใดอันฝ่ายข้างเสียพนันขันต่อหากทำให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อจะใช้หนี้เงินพนันหรือขันต่อนั้นด้วย     

คำพิพากษาของศาลที่เกี่ยวข้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1791/2550

จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้การพนันสลากกินรวบ จึงไม่ก่อให้เกิดหนี้อันจะเรียกร้องกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 853, 854 จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์

 

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาอุดรธานี ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2540 จำนวนเงิน 421,400 บาท มีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายนำมาขอแลกเงินสดไปจากโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2540 โจทก์ทวงถามจำเลยแล้วจำเลยเพิกเฉย จำเลยต้องรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2540 เป็นต้นไป โจทก์ขอคิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 6 เดือน เป็นเงิน 15,802.50 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 437,202.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 421,400 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า เช็คพิพาทเป็นการสั่งจ่ายค่าสลากกินรวบงวดวันที่ 16 ตุลาคม 2540 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2540 เป็นหนี้การพนันมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามตามกฎหมายตกเป็นโมฆะ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทเป็นเช็คของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาอุดรธานี ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2540 จำนวนเงิน 421,400 บาท มอบให้โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ตามเช็คและใบคืนเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คพิพาทซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายหรือไม่ จำเลยอ้างว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยออกให้โจทก์เพื่อชำระหนี้การพนันสลากกินรวบ เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อให้จำเลยไม่ต้องรับผิดในเช็คพิพาท ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลย พยานของจำเลยมีตัวจำเลย และนายโกวิท เจริญสุข สามีจำเลยมาเบิกความว่าโจทก์และบิดามารดาของโจทก์รับซื้อสลากกินรวบที่ถือเอาเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว รางวัลที่ 1 ของสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นตัวเลขถูกรางวัล โดยจำเลยเป็นคนเดินโพยสลากกินรวบส่งให้ครอบครัวของโจทก์มาตั้งแต่ปี 2536 ใช้วิธีส่งทางโทรศัพท์ นายมานิตและนางกานดา ภารนันต์ สามีภริยากัน เป็นลูกค้าแทงสลากกินรวบกับจำเลยแต่ละครั้งจะ

เล่นเป็นจำนวนมากในงวดสลากกินแบ่งรัฐบาลประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2540 นายมานิตและนางกานดาเล่นสลากกินรวบเป็นเงิน 900,000 บาทเศษและถูกรางวัล 500,000 บาทเศษ คงเหลือเงินต้นที่ต้องชำระให้ฝ่ายโจทก์ 421,400 บาท ในวันที่ 16 ตุลาคม 2540 เวลา 21 นาฬิกา จำเลยไปคิดเงินกับโจทก์แล้วได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทลงวันที่ 31 ตุลาคม 2540 ก่อนสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดถัดไป 1 วัน มอบให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ให้เวลา 15 วัน แก่จำเลยเพื่อเก็บเงินจากลูกค้าผู้เล่นสลากกินรวบ แต่เมื่อจำเลยไปเรียกเก็บเงินค่าสลากกินรวบจากนายมานิตและนางกานดาบุคคลทั้งสองไม่มีเงินชำระ จำเลยขอให้นายสุรเชษฐ์ อ่อนคำ และเฮียตี๋ไม่ทราบชื่อจริงช่วยเจรจาให้นายมานิตและนางกานดาจ่ายเงินให้ ต่อมาก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดอีก 5 วัน จำเลยพร้อมสามีและนายมานิตกับนางกานดาไปพบโจทก์ที่ร้านอึ้งจิบเซ้ง นายมานิตและนางกานดาตกลงชำระหนี้ให้โจทก์โดยโอนที่ดิน 6 แปลง ขอทำเป็นสัญญาขายฝากเพื่อจะได้ซื้อคืนในภายหลัง โดยนายมานิตและนางกานดาเป็นผู้ชำระค่าภาษีและค่าธรรมเนียมการขายฝาก ในวันจดทะเบียนขายฝากนางกานดาเตรียมเงินไปเพียง 50,000 บาท ไม่พอชำระค่าภาษีและค่าธรรมเนียมการขายฝากขาดอีก 2,600 บาท จึงให้ฝ่ายโจทก์นำไปรวมเป็นราคาขายฝากรวมเป็นเงิน 434,000 บาท และที่ใส่ชื่อนายสุวิทย์ อิสณพงศ์ เป็นผู้ซื้อฝากเนื่องจากนายสุวิทย์เป็นน้องชายของโจทก์ที่ขายสลากกินรวบด้วยกัน และมีเวลาว่างเป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียน ปรากฏตามหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินมีกำหนด 1 ปี และสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.2 กับมีนายสุรเชษฐ์ อ่อนคำ มาเบิกความว่า ภายหลังที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทแล้ว จำเลยได้ตามนายมานิตมาพูดคุยโดยพยานนั่งอยู่ด้วย ผลการเจรจานายมานิตบอกว่าจะนำที่ดิน 4 ถึง 5 แปลง ไปขายหรือขายฝากเพื่อนำเงินมาชำระค่าสลากกินรวบที่นายมานิตซื้อ ภายหลังพยานทราบว่านายมานิตได้นำที่ดินไปขายฝากให้แก่ร้านอึ้งจิบเซ้งเพื่อใช้หนี้แทนจำเลย เห็นว่า ข้อนำสืบของจำเลยมีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสนับสนุนตามที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ ส่วนที่จำเลยและนายโกวิทเบิกความแตกต่างกันเรื่องระยะเวลาที่จำเลยเป็นคนเดินโพยสลากกินรวบส่งให้แก่โจทก์ วันที่ไปคิดค่าสลากกินรวบและสั่งจ่ายเช็คพิพาทกับจำนวนเงินที่นายมานิตและนางกานดาเล่นสลากกินรวบ เป็นเพียงรายละเอียดที่อาจเบิกความคลาดเคลื่อนแตกต่างกันได้ แต่คำเบิกความของจำเลยและนายโกวิทก็ฟังได้ตรงกันว่านายมานิตและนางกานดาต้องชำระค่าสลากกินรวบให้ฝ่ายโจทก์เป็นเงิน 421,400 บาท และจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ สำหรับราคาขายฝากที่ดิน จำนวน 434,000 บาท เมื่อหักออกจากค่าภาษีและค่าธรรมเนียมในการขายฝากที่จำเลยอ้างว่านางกานดาให้ฝ่ายโจทก์ออกไปก่อน จำนวน 2,600 บาท แล้ว แม้จะไม่ตรงกับยอดเงินตามเช็คพิพาทแต่ก็ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญ เนื่องจากจุดประสงค์ที่จำเลยอ้างหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินมาก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงการชำระหนี้ค่าสลากกินรวบให้โจทก์สำหรับค่าสลากกินรวบที่นายมานิตและนางกานดาซื้อกับจำเลยเท่านั้น หากสัญญาขายฝากดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับจำเลยและโจทก์ จำเลยก็ยากที่จะทราบและยกสัญญาขายฝากขึ้นอ้างได้ พยานของจำเลยจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง สำหรับพยานของโจทก์นั้นมีตัวโจทก์และนายวิศิษฏ์ อิสณพงศ์ บิดาของโจทก์มาเบิกความว่า ประมาณต้นเดือนกันยายน 2540 จำเลยมาพบโจทก์แจ้งว่าเดือดร้อนเรื่องเงินขอนำเช็คมาแลกเงินสดเป็นเงิน 400,000 บาท จะชำระเงินตามเช็คคืนให้ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2540 โจทก์คิดส่วนลดในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ให้จำเลยมารับเงินในวันที่ 15 กันยายน 2540 เมื่อถึงวันนัดจำเลยมารับเงินจากโจทก์จำนวน 400,000 บาท โดยไม่ได้หักส่วนลดไว้เนื่องจากจำเลยต้องการรับเงินเต็มจำนวน แล้วจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบใว้ให้แก่โจทก์ เห็นว่า เมื่อคำนวณผลประโยชน์ส่วนลดในอัตรา ร้อยละ 2 ต่อเดือน ตามระยะเวลาที่จำเลยเอาเงินของโจทก์ไปจากต้นเงิน 400,000บาทแล้ว ไม่ตรงกับจำนวนเงินในเช็คพิพาทตามที่โจทก์กล่าวอ้าง สำหรับจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายให้จำเลยนั้น โจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท รวม 2 ปึก ส่วนบิดาของโจทก์เบิกความว่าเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 2 ปึก และฉบับละ 500 บาท 4 ปึก นอกจากนี้โจทก์ยังรับว่าทราบเรื่องนายมานิตทำสัญญาขายฝากกับนายสุวิทย์น้องชายของโจทก์ตามหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเอกสารหมาย ล.2 แต่อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์และหนี้รายนี้ ซึ่งจำเลยได้ให้การต่อสู้ในประเด็นเรื่องขายฝากเพื่อชำระหนี้การเล่นพนันสลากกินรวบมาแต่ต้น แต่โจทก์มิได้นำนายสุวิทย์ที่เป็นน้องชายมาสืบให้เห็นถึงหนี้ตามสัญญาขายฝาก พยานของโจทก์จึงมีข้อให้ระแวงในการรับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบมามีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐาน ของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้การพนันสลากกินรวบ เมื่อเช็คพิพาทมีมูลหนี้เกิดจากการพนันสลากกินรวบ จึงไม่ก่อให้เกิดหนี้อันจะเรียกร้องกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 853, 854 จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นชอบแล้ว"

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.