| กรณีที่ ๒ กรณีมีการคืนรถยนต์และมีการขายทอดตลาดได้เงินน้อยกว่าสัญญาเช่าซื้อ ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดต่อผู้เช่าซื้อ  แต่มีบางกรณีที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดต่อผู้เช่าซื้อโดยจำกัดความเสียหายได้  กล่าวคือ ผู้เช่าซื้อมีการบอกกล่าวให้ผู้ค้ำประกันรับผิดพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมาย  ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน  ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมาย  ซึ่งเป็นไปประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686  วรรคสอง บัญญัติว่า  ในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน  ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้  รายนั้นบรรดาที่เกิดข้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ปัญหาที่ต้องพิจารณาว่า  ค่าขาดราคาตามสัญญาเช่าซื้อเป็นหนี้ประธานหรือหนีอุปกรณ์  โดยศาลได้วางแนวคำพิพากษาว่า ค่าขาดราคาตามสัญญาเช่าซื้อเป็นหนี้อุปกรณ์  เมื่อมีการขาดทอดตลาดแล้ว โดยมีการบอกกล่าวเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด  ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดในค่าขาดราคาต่อผู้ให้เช่าซื้อ
 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2563 บันทึกการส่งมอบรถยนต์มีข้อความว่า  ข้าพเจ้าประสงค์ขอเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยการส่งมอบรถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อคืนแก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ  ข้อ 9 ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะรับผิดชอบที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาเช่าซื้อกรณีที่เจ้าของได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากการบอกเลิกสัญญาของข้าพเจ้า  โดยเอกสารดังกล่าวระบุว่า บันทึกการส่งมอบรถยนต์เพื่อเลิกสัญญา  และระบุสถานที่รับรถว่า เป็นการส่งมอบคืน ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ เมื่อสัญญาเช่าซื้อ  ข้อ 9 กำหนดว่า  ผู้เช่าซื้อฝ่ายเดียวจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดก็ได้  โดยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนให้เจ้าของ ณ ภูมิลำเนาของเจ้าของ  และผู้เช่าตกลงที่จะชำระบรรดาหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันบอกเลิกสัญญาแก่เจ้าของจนครบถ้วน  และหากเจ้าของนำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขาย  หากได้ราคาน้อยกว่ามูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ  ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชำระส่วนที่ขาดนั้นให้แก่เจ้าของจนครบถ้วน  การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1  และเป็นผู้ค้ำประกันย่อมแปลความหมายได้ว่า  จำเลยทั้งสองมีเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้เจ้าของ  และตกลงจะรับผิดในบรรดาหนี้ที่เกิดขึ้นจากการบอกเลิกสัญญา  อันเป็นการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 9 สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันตามข้อสัญญาดังกล่าว  หาใช่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยคู่สัญญาสมัครใจที่จะเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยายไม่  โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าขาดราคาได้จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่วันที่  25 ตุลาคม 2558 ซึ่งเป็นเวลาภายหลัง  ป.พ.พ. มาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ มีผลใช้บังคับแล้ว  เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์จึงต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว  โดยต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน  นับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด  การที่โจทก์เพิ่งมีหนังสือแจ้งสิทธิการซื้อทรัพย์สินลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 ส่งไปยังจำเลยที่ 2 ตามที่อยู่ที่ปรากฏตามสัญญาค้ำประกันโดยหนังสือดังกล่าวถูกส่งคืนกลับต้นทาง  และโจทก์ขายทอดตลาดรถยนต์ที่เช่าซื้อเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2559  หลังจากนั้นโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังจำเลยที่ 2 อีกครั้ง เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2559 โดยจำเลยที่ 2 ได้รับเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2559 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน  ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลา  60 วัน จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่  1 ชำระค่าขาดประโยชน์อันเป็นค่าสินไหมทดแทนเพียง 60 วัน เท่านั้น ส่วนค่าขาดราคาถือเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ จำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดในมูลหนี้ค่าขาดราคา  ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน  แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
 จากสองกรณีศึกษาดังกล่าว  มีผลทำให้ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าซื้อหรือรับผิดน้อยลงจากฟ้อง  หากท่านผู้อ่านหรือผู้ที่สนใจต้องการให้สำนักงานดำเนินการแก้ต่างคดีเกี่ยวกับการต่อสู้คดีเช่าซื้อ  ในฐานะผู้ค้ำประกัน หรือในฐานะผู้เช่าซื้อเอง สามารถติดต่อมายังเบอร์โทร 095  778 8803    |