| อายุความในการฟ้องชู้ | 
|---|
| โจทก์เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1  ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 1 ยังคงอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2  ฉันภริยาอันเป็นพฤติการณ์ต่อเนื่องตั้งแต่โจทก์รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว  เหตุฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (1) จึงยังคงมีอยู่ตลอดมาและโจทก์ย่อมยกเป็นเหตุหย่าได้  โดยไม่สำคัญว่าโจทก์จะรู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวก่อนฟ้องเกิน 1 ปีหรือไม่  สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ไม่ระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1529 ...พิเคราะห์แล้ว สำหรับปัญหาเรื่องเหตุหย่า ซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ให้การอุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ 2 ฉันภริยานั้น โจทก์เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์อีกครั้ง เพราะโจทก์กับจำเลยที่ 1 ปรับความเข้าใจกันได้ จำเลยที่ 1 จึงเจตนาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ จำเลยที่ 1 เบิกความโต้แย้งว่า ตนมิได้เจตนาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ แต่ต้องจดทะเบียนสมรสกับโจทก์อีกครั้งหนึ่ง เพราะเห็นว่าเด็กชาย อ. บุตรจำเลยที่ 1 กับโจทก์จะเข้าโรงเรียนเพื่อประโยชน์ของเด็กชาย อ. และการคำนวณลดหย่อนภาษีเงินได้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล เพราะขณะที่เด็กชาย อ. เกิดนั้น โจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังจดทะเบียนสมรสกันอยู่ เด็กชาย อ. จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 แม้ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกันด้วยความสมัครใจ ขณะนั้นโจทก์ไม่ใช่ภริยาของจำเลยที่ 1 ก็เป็นเหตุเฉพาะตัวของโจทก์ ไม่ทำให้เด็กชาย อ. บุตรชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นบุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 เด็กชาย อ. จึงยังคงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ตลอดไป จำเลยที่ 1 ย่อมขอลดหย่อนค่าภาษี เนื่องจากต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาเด็กชาย อ. ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะได้ ประกอบกับจำเลยที่ 1 ก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่า การที่จำเลยที่ 1 และโจทก์จดทะเบียนสมรสกันครั้งหลังนี้ จำเลยที่ 1 และโจทก์สมัครใจที่จะเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ความจริงจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์จะเป็นสามีภริยากับโจทก์อีกครั้งนั้นย่อมรับฟังไม่ได้ ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ยกย่องจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 ไปมี | 
| เพศสัมพันธ์ด้วย  ในขณะที่โจทก์ยังเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1  กับนำจำเลยที่ 2 เข้ามาอยู่ในบ้านเลขที่ 81/105  กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นการเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นเป็นภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 1516 (1) แล้ว  ส่วนโจทก์ไม่เคยแสดงตนว่าเป็นภริยาจำเลยที่ 1 ไม่เคยทะเลาะหรือไล่จำเลยที่  2 ออกจากบ้านหรือเพิ่งแสดงตนว่าเป็นภริยาจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2545 ตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน  เพราะจำเลยที่ 2 กับพี่สาวโจทก์ทะเลาะวิวาททำร้ายกันนั้น  ก็มิใช่กรณีที่โจทก์ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยที่ 1 กับที่  2 มีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากัน  เพราะเมื่อจำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาว โจทก์ก็ไม่ทราบเรื่อง  ขณะที่โจทก์พบจำเลยที่ 2 อยู่ในห้องนอนจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ก็ตั้งครรภ์แล้ว ดังนั้น  โจทก์จึงมีเหตุฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีเหตุฟ้องแย้งขอหย่าโจทก์โดยอ้างเหตุว่า  โจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน  ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 1 ยังคงอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2 เป็นภริยาอันเป็นพฤติการณ์ต่อเนื่องตั้งแต่โจทก์รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว  เหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) จึงยังคงมีอยู่ตลอดมา  โดยไม่สำคัญว่าโจทก์จะรู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวก่อนฟ้องเกิน 1 ปีหรือไม่  และโจทก์ย่อมยกเป็นเหตุหย่าได้ สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 1529 ตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง  ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์มีเหตุหย่าและให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันนั้นชอบแล้ว  และจำเลยทั้งสองต้องชดใช้ค่าทดแทนให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523  วรรคหนึ่ง เมื่อพิจารณาถึงสถานภาพของจำเลยที่ 1 ซึ่งเคยไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย  เคยทำงานที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้รับเงินเดือน เดือนละ 23,000 บาท เริ่มทำงานที่บริษัทอิริกสัน จำกัด มีรายได้เดือนละ 20,000 บาท จนกระทั่งได้รับการขึ้นเงินเดือนเป็นเดือนละ 90,000 บาท และสามารถใช้เงินโจทก์และเด็กชาย อ. ใช้เดือนละ 6,000 บาท ถึง 7,000 บาท บางครั้งเป็น 10,000 บาท มีที่ดิน 2 แปลง  แปลงหนึ่งมีบ้านที่ตนใช้พักอาศัยอยู่ด้วย จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีฐานะทางการเงินดี แม้ขณะที่มาเบิกความ จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่มีงานทำแต่จำเลยที่  1 ก็เคยพบเหตุการณ์นี้เมื่อกลับจากประเทศซาอุดีอาระเบียก็ว่างงานอยู่นานถึง  7 เดือน ก็ไม่ขัดขวางการดำรงชีพของจำเลยที่ 1 ประกอบกับโจทก์มีรายได้จากการรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า  และยังต้องเสียค่าเช่าบ้านด้วย  จึงเห็นว่าค่าทดแทนที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่  1 ก็ฟังไม่ขึ้น  คดีมีประเด็นข้อสุดท้ายเรื่องการใช้อำนาจปกครองเด็กชาย อ. นั้น เห็นว่า เด็กชาย อ.  อยู่ในความดูแลของโจทก์ตลอดมาตั้งแต่โจทก์ยังอยู่ร่วมบ้านกับจำเลยที่ 1 หรือแยกออกมาอยู่ต่างหากจากจำเลยที่ 1 โดยไม่ปรากฏว่าการปกครองดูแลเด็กชาย  อ. ของโจทก์มีผลเสียหายอย่างไร  แต่กลับปรากฏผลดีเพราะโจทก์เป็นหญิงมีความละเอียดอ่อนในการดูแลบุตร  ทั้งโจทก์ประกอบอาชีพอยู่ภายในบ้าน ย่อมมีเวลาในการเลี้ยงดูบุตร  และโจทก์ก็ยังไม่มีสามีใหม่ที่จะมาแบ่งปันเวลาและความรักที่มีต่อเด็กชาย อ.  ซึ่งต่างกับจำเลยที่ 1 ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน  ทั้งมีครอบครัวใหม่กับจำเลยที่ 2 และบุตรกับจำเลยที่ 2  การให้เด็กชาย อ. บุตรอยู่ในความดูแลของโจทก์ย่อมเหมาะสมกว่า  ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ปัจจุบันเด็กชาย อ.  กลับมาอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 81/105  ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2548 เพราะโจทก์ไม่มีเวลามาดูแลให้ความอบอุ่น  โจทก์ก็แก้ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 บอกว่าจะให้บุตรไปศึกษาต่อต่างประเทศจึงขอให้โจทก์ไปทำหนังสือยินยอมที่สถานกงสุล  โจทก์จึงต้องยินยอมให้บุตรไปอยู่กับจำเลยที่ 1 เพราะเห็นแก่อนาคตของบุตรแต่บุตรก็ยังไม่ได้ไปต่างประเทศ  ต้องอาศัยอยู่กับย่าซึ่งอายุมากแล้วที่บ้านเลขที่ 81/105 ตามลำพังสองคน  เพราะจำเลยที่ 1 ได้แยกไปอยู่กับครอบครัวใหม่อีกที่หนึ่ง  ทำให้ในตอนกลางวันบุตรเล่นแต่เกมคอมพิวเตอร์  และออกไปเที่ยวเตร่กลางคืนเป็นบางครั้ง เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้ดูแลใกล้ชิด  ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้จึงยังไม่แน่นอนดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา  และนำมารับฟังวินิจฉัยประกอบฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่ได้  ฎีกาจำเลยที่ 1 จึงฟังไม่ขึ้น  ส่วนข้ออ้างตามฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสองนั้น  ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลฎีกา จึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้" 
 | 
| บทความที่น่าสนใจ | 
| -การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่ -ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก -การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม -การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร -เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น -ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร -ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม -ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้ -การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน -เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร 
 |