| เอาสินส่วนตัวรวมกับสินสมรสซื้อทรัพย์ในระหว่างสมรส | 
|---|
| หลายๆ  คนมองว่า เมื่อได้เอาสินส่วนตัวซื้อทรัพย์สินในระหว่างสมรส ทรัพย์สินนั้นๆ  ย่อมเป็นสินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายนั้น  แต่หากว่าเอาสินส่วนตัวและสินสมรสซื้อทรัพย์สินแล้ว  ผลทางด้านกฎหมายจะเปลี่ยนไปหรือไม่  และหากว่าในการซื้อทรัพย์สินในระหว่างสมรสโดยเอาสินส่วนตัวมีมากกว่าสินสมรส  ผลจะเป็นอย่างไร  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1596/2554  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมผู้ร้องเป็นภริยาจำเลยโดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2542 มีบุตรด้วยกัน 1 คน เมื่อเดือนมีนาคม 2547 ผู้ร้องจองซื้อรถยนต์พิพาทในราคา 634,000 บาท โดยได้ชำระเงินมัดจำ 5,000 บาท ส่วนที่เหลือชำระเป็นแคชเชียร์เช็คธนาคารออมสิน สาขาแม่โจ้ ฉบับลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2547 จำนวนเงิน 629,000 บาท ต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 ผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์พิพาทเพื่อชำระหนี้ที่จำเลยมีอยู่ต่อโจทก์ตามคำพิพากษาโดยอ้างว่ารถยนต์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง วันที่ 3 มีนาคม 2549 | 
| จำเลยจดทะเบียนหย่ากับผู้ร้อง  ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องชอบหรือไม่  เมื่อผู้ร้องซื้อรถยนต์พิพาทในระหว่างที่เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยโดยได้ความจากผู้ร้องว่า  ผู้ร้องรวมรวบเงินมาซื้อโดยขอเงินจากมารดาผู้ร้อง 150,000 บาท  กับได้ไถ่ถอนการจำนองบ้านและที่ดินซึ่งเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องจากธนาคารไทยพาณิชย์  จำกัด (มหาชน) มาจำนองธนาคารออมสิน  โดยขอกู้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนที่ไถ่ถอนจำนองแล้วเอาส่วนต่างนั้นมารวมรวบในการซื้อรถยนต์พิพาทด้วยและยังได้กู้เงินเพิ่มโดยกู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานธนาคารออมสินอีก  200,000 บาท นอกจากนี้เป็นเงินเก็บส่วนตัวของผู้ร้องซึ่งเป็นเงินที่ผู้ร้องเก็บสะสมมาตั้งแก่ก่อนจดทะเบียนสมรสกับจำเลย  ดังนี้  เงินกู้ที่ผู้ร้องเบิกความถึงจึงเป็นเงินที่ผู้ร้องได้มาในระหว่างเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยย่อมถือเป็นสินสมรส  หาใช่เป็นเงินที่ได้มาจากการเปลี่ยนสินส่วนตัวของผู้ร้องมาเป็นสินสมรสดังเช่นที่ผู้ร้องกล่าวอ้างมาในฎีกา  เมื่อรถยนต์พิพาทเป็นสินสมรสจำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมด้วย  และตามคำร้องของผู้ร้องเป็นการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดคืนแก่ผู้ร้อง  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ซึ่งบัญญัติว่า  "ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 55 ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้  ก่อนที่ได้เอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาด หรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น  บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น..."  ดังนี้ คดีจึงมีประเด็นวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า  ทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เป็นของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่  เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมในรถยนต์พิพาทนั้นด้วย  ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย  ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น" 
 บทความที่น่าสนใจ-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่ -ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก -การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม -การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร -เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น -ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร -ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม -ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้ -การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน -เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร 
 
 
 
 
 |