ข้อมูลจากกรมที่ดิน ฝรั่งหรือผู้คนต่างด้าวซื้อที่ดินในประเทศโดยให้ผู้มีสัญชาติไทยเป็นนอมินีในการยึดถือที่ดินแทน กรมที่ดินจึงได้ทำการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว โดยให้กำหนดนโนบายในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อเสนอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป ในเบื้องต้นกรมที่ดินจะเพิ่มการตรวจสอบให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
เรื่องที่กล่าวมานั้นเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาของกรมที่ดิน ส่วนข้อกฎหมายนั้นทนายความเชียงใหม่ได้หยิบยกตัวอย่างมาอธิบายในหัวข้อเรื่องการเปลี่ยนเจตนาการครอบครองที่ดินแทนฝรั่งหรือคนต่างด้าง ว่าผู้มีสัญชาติไทยจะเปลี่ยนเจตนาการครอบครองกับเจ้าของที่ดินที่แท้จริงได้อย่างไร
ซึ่งตามเรื่องราวที่กล่าวมานี้ มีข้อกฎหมายกำหนดไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 บัญญัติว่า บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก
โดยจากมาตรา 1381 กฎหมายกำหนดให้แสดงเจตนาต่อผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่แท้จริงว่า ผู้ครอบครองแทนจะไม่ยึดถือที่ดินดังกล่าวแทนอีกต่อไป
ซึ่งการบอกกล่าวนั้น ทนายความใหม่ขอแนะนำว่า ให้ทำการบอกกล่าวเป็นหนังสือและให้มีหลักฐานในการรับหนังสือบอกกล่าวนั้นด้วย เพราะจะได้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีของศาลต่อไป
นอกจากนั้น ยังมีประเด็นต่อไปว่า หากผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงนั้น มีหลายคน จำเป็นต้องบอกกล่าวทุกคนหรือไม่
โดยมีคำตัดสินหรือคำพิพากษาของศาลได้ตัดสินไว้ว่า
คำพิพากษาฎีกาที่ 3869/2554 ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีตามที่โจทก์ฎีกาเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยบอกกล่าวเปลี่ยนการยึดถือแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวม โดยไม่ได้บอกกล่าวแก่นาย บ. ด้วยถือเป็นการบอกกล่าวที่ชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แล้วหรือไม่ เห็นว่า โจทก์กับนาย บ. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท โจทก์และนาย บ. คนใดคนหนึ่งย่อมมีสิทธิ์จัดการดูแลที่ดินพิพาททั้งหมด ดังนี้ การที่จำเลยบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนการยึดถือที่ดินพิพาทไปยังโจทก์ ก็ย่อมมีผลเป็นการบอกกล่าวที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แล้ว โดยไม่จำต้องบอกกล่าวไปยังเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมให้ครบทุกคน ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การบอกกล่าวได้ยังผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่แท้จริงในกรณีมีหลายคน ผู้ครอบครองที่ดินแทนไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวไปยังทุกคน เพียงแต่บอกกล่าวว่าจะไม่ครอบครองที่ดินแทนหรือไม่ต้องการยึดถือที่ดินแทนเจ้าของที่ดินที่แท้จริงแล้ว ย่อมเป็นการแสดงเจตนาตามมาตรา 1381 ได้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
นอกจากนั้น ทนายความเชียงใหม่ยังได้คัดสรรคำพิพากษาของศาลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนการครอบครองที่ดินแทน ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4676/2560 จำเลยซื้อที่ดินมือเปล่าจากมารดาโจทก์แล้วเข้าครอบครองอยู่อาศัย จึงเป็นการครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ ต่อมามารดาโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินรวมไปถึงที่ดินที่จำเลยซื้อ เมื่อจำเลยยังคงครอบครองที่ดินที่ซื้อโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา ระยะเวลาแห่งการครอบครองปรปักษ์ที่ดินจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ออกโฉนดที่ดินเป็นต้นไป และจำเลยไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ยึดถือแทนจึงไม่ต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการครอบครองไปยังผู้ขาย เมื่อนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ |