สำนักงานกฎหมาย

นพนภัส

ทนายความเชียงใหม่

จอดรถขวางทางทำให้เข้าออกลำบากในหมู่บ้านจัดสรรฟ้องขับไล่ได้

หลายๆคนเมื่อซื้อบ้านจัดสรรจากโครงการหมู่บ้านจัดสรรแล้ว  มีการจอดรถยนต์บนถนนภายในหมู่บ้านจัดสรร  จนทำให้เข้าออกลำบาก  ซึ่งกรณีปัญหานี้  เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยมากและเห็นกันเป็นประจำทุกวัน  จนกระทั่งกรณีดังกล่าวได้เกิดเป็นคดีขึ้น  และศาลได้มีการตัดสินคดีประเภทนี้ไว้  แต่ทั้งนี้  อยากให้มาศึกษาหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกัน  โดยมีหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องดังนี้

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 1337  บุคคลใดใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหาย หรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบไซร้ ท่านว่าเจ้าของอสังหาริมทรัพย์มีสิทธิจะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป  ทั้งนี้ ไม่ลบล้างสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทดแทน

จากหลักกฎหมายดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจจากแดนกรรมสิทธิ์ที่ตนได้ที่ดินมาโดยถูกต้องตามกฎหมาย  เป็นการใช้อำนาจเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไปถึงบุคคลภายนอกที่เข้ามากระทำสิทธิมากระทบกับการใช้อสังหาริมทรัพย์ของตนเอง  จนทำให้ได้รับความเสียหาย  เดือดร้อนเกินที่ควรคาดหมายได้  เจ้าของกรรมสิทธิ์จึงสามารถที่จะใช้สิทธิของตนเองในการฟ้องคดีเพื่อให้ได้รับการยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปได้  และสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากบุคคลนั้นๆ ได้อีกด้วย 

กรณีศึกษาจากข้อเท็จจริงที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า  กรณีมีการนำรถยนต์มาจอดบนถนนภายในถนนหมู่บ้านจัดสรร  จนเข้าออกลำบาก  เป็นการทำให้ได้รับความเสียหายเดือดร้อนรำคาญจนเกินสมควร มีสิทธิที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1337  จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่ให้ออกไปจากพื้นที่ส่วนที่กันไว้เป็นสาธารณูปโภคประเภทสาธารณประโยชน์ (ถนนในโครงการ)

จากคำตอบดังกล่าวอ้างอิง  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7785/2561
โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรร แม้จะไม่มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร แต่ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินตาม พ.ร.บ.จัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 มีหน้าที่ดูแลที่ดินที่เป็นประเภทสาธารณูปโภค ซึ่งที่ดินประเภทสาธารณูปโภคจะตกเป็นภาระจำยอมให้กับผู้ซื้อที่ดินในโครงการ มีสิทธิใช้ที่ดินในส่วนดังกล่าว โดยไม่ต้องจดทะเบียนภาระจำยอม ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่กันไว้สำหรับสาธารณูปโภคประเภทถนนในโครงการ มีจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินและเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลที่ดินพิพาท คดีนี้ตอนต้นโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อมาโจทก์ได้ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ถูกศาลล้มละลายกลางพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนฟ้องคดี ศาลชั้นต้นอนุญาต จึงเหลือเฉพาะจำเลยที่ 2 ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ตาม พ.ร.บ.จัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543

แต่อย่างไรก็ดี พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยที่ 2 เปิดร้านค้าสุราเปิดเพลงส่งเสียงดังรบกวนและสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่โจทก์และลูกค้าของโจทก์ และเปิดกิจการเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งมีการทิ้งสิ่งปฏิกูลส่งกลิ่นเหม็นข้างอาคารโจทก์ และจอดรถขวางทางทำให้โจทก์เข้าออกลำบาก ทำให้โจทก์และผู้ที่เช่าอาคารโจทก์ได้รับความเสียหายเดือดร้อนรำคาญจนเกินสมควร โจทก์จึงมีสิทธิที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1337 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ให้ออกไปจากพื้นที่ส่วนที่กันไว้เป็นสาธารณูปโภคประเภทสาธารณประโยชน์ (ถนนในโครงการ)

แม้โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนร้านค้าออกไปจากที่ดินพิพาท จะเป็นคำขอท้ายฟ้องที่ไม่ถูกต้อง แต่ในการพิพากษาคดีไม่ได้มีกฎหมายบังคับไว้ว่าต้องพิพากษาตามคำขอทุกประการ หากพอทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์มีความประสงค์อย่างใด จำเลยที่ 2 ก็สามารถเข้าใจดีว่าโจทก์ต้องการบังคับคดีแบบใด จำเลยที่ 2 ไม่ได้หลงข้อต่อสู้ เหตุที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องดังกล่าวเป็นเพราะเดิมมีการฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดิน ผู้มีหน้าที่ดูแลที่ดินพิพาทมาพร้อมกับจำเลยที่ 2 ต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 จึงได้มีคำขอท้ายฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ติดมาด้วย ถือว่าเป็นคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ผิดกฎหมายแต่อย่างใด ประกอบกับเมื่อศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 และบริวารออกจากที่ดินพิพาท แต่ก็ไม่ได้พิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 2 ทำการรื้อถอนร้านค้า คำขอท้ายฟ้องของโจทก์และคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงชอบแล้ว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 27911 โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง

 
 

จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องของถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 โดยอ้างเหตุว่า จำเลยที่ 1 ถูกศาลล้มละลายกลางพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนฟ้องคดี ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 2 พร้อมทั้งบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 27911 และร้านค้าตามที่ปรากฏในภาพถ่าย และให้จำเลยที่ 2 ขนย้ายทรัพย์สินที่เป็นของตนทั้งหมดออกจากร้านค้าและที่ดินดังกล่าว ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีไม่กำหนดให้ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 27911 ซึ่งอยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดินและเป็นพื้นที่ส่วนที่กันไว้เป็นสาธารณูปโภคประเภททางสาธารณประโยชน์ (ถนนในโครงการ) โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 40162 และ 40163 ซึ่งเป็นที่ดินจัดสรรแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 27911 ส่วนจำเลยที่ 2 ประกอบกิจการประเภทร้านค้าสุรา ร้านดังกล่าวตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 27911 ในส่วนที่อยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดินและเป็นพื้นที่ส่วนที่กันไว้เป็นสาธารณูปโภคประเภทสาธารณประโยชน์ (ถนนในโครงการ) ตามใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินเลขที่ 313/2533 และตั้งอยู่บริเวณข้างอาคารโจทก์

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 หรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรร มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรร แม้จะไม่มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร แต่ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 มีหน้าที่ดูแลที่ดินที่เป็นประเภทสาธารณูปโภค ซึ่งที่ดินประเภทสาธารณูปโภคจะตกเป็นภาระจำยอมให้กับผู้ซื้อที่ดินในโครงการ มีสิทธิใช้ที่ดินในส่วนดังกล่าวโดยไม่ต้องจดทะเบียนภาระจำยอม ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่กันไว้สำหรับสาธารณูปโภคประเภทถนนในโครงการ มีจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินและเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลที่ดินพิพาท คดีนี้ในตอนต้นโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อมาโจทก์ได้ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ถูกศาลล้มละลายกลางพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนฟ้องคดี ศาลชั้นต้นอนุญาต จึงเหลือเฉพาะจำเลยที่ 2 ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 ตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีที่โจทก์นำสืบว่า ร้านค้าสุราของจำเลยที่ 2 เปิดเพลงส่งเสียงดังรบกวนและสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่โจทก์และลูกค้าของโจทก์เป็นอย่างมาก ทั้งยังเปิดร้านค้าสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด ลูกค้าของจำเลยที่ 2 ก็จอดรถขวางทางทำให้โจทก์เข้าออกลำบาก และจำเลยที่ 2 ยังทิ้งสิ่งปฏิกูลส่งกลิ่นเหม็นไว้ข้างอาคารโจทก์ ถือว่าการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์และผู้ที่เช่าอาคารโจทก์ได้รับความเสียหายเดือดร้อนรำคาญจนเกินสมควร โจทก์จึงมีสิทธิที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ให้ออกไปจากพื้นที่ส่วนที่กันไว้เป็นสาธารณูปโภคประเภทสาธารณประโยชน์ (ถนนในโครงการ) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

ส่วนจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนร้านค้าออกไปจากที่ดินพิพาทนั้น เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า แม้คำขอท้ายฟ้องจะปรากฏตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาก็ตาม แต่ในการพิพากษาคดีไม่ได้มีกฎหมายบังคับไว้ว่าต้องพิพากษาตามคำขอทุกประการ ดังนั้น แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง แต่ก็พอจะทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์มีความประสงค์อย่างใด จำเลยที่ 2 ก็สามารถเข้าใจดีว่าโจทก์ต้องการบังคับคดีแบบใด จำเลยที่ 2 ไม่ได้หลงข้อต่อสู้ เหตุที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องดังกล่าวเป็นเพราะเดิมมีการฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดิน ผู้มีหน้าที่ดูแลที่ดินพิพาทมาพร้อมกับจำเลยที่ 2 ต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 จึงได้มีคำขอท้ายฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ติดมาด้วย ถือว่าเป็นคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ผิดกฎหมายแต่อย่างใด ประกอบกับเมื่อศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 และบริวารออกจากที่ดินพิพาท แต่ก็ไม่ได้พิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 2 ทำการรื้อถอนร้านค้า ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาทุกข้อของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ