การที่ผู้รับจำนำรับทรัพย์สินใดไว้เป็นประกันตามสัญญา ผู้รับจำนำย่อมเข้าครอบครองทรัพย์สินที่จำนำนั้นแล้ว หากปรากฏว่า ผู้จำนำขอไถ่ถอนทรัพย์ที่จำนำไว้ แต่ผู้รับจำนำไม่ยินยอมให้ไถ่ถอน ไม่ถือว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์สินที่จำนำนั้น ไม่ถือว่าผู้รับจำนำเอาทรัพย์สินที่จำนำเป็นผู้ตนเองโดยทุจริต จึงไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง
คำตัดสินที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2501
โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานยักยอกระบุการกระทำที่เป็นความผิดเฉพาะแต่ตอนที่ว่า "เจ้าทรัพย์ได้ไปขอไถ่แหวนเพชรที่จำนำจำเลยไว้จำเลยไม่ยอมให้ไถ่" เช่นนี้ ไม่เป็นการแสดงว่าจำเลยเบียดบังที่จะเอาทรัพย์(แหวนเพชร)นั้นเป็นของตนโดยทุจริต หากเป็นแต่เพียงแสดงว่าจำเลยผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น ส่วนข้อความที่บรรยายในฟ้องตอนต้นที่ว่า "จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาแหวนเพชรซึ่งได้รับจำนำไว้เป็นประโยชน์ของตนเสีย" นั้น เป็นเพียงข้อความที่แสดงเจตนาของจำเลยว่าจะยักยอกทรัพย์เท่านั้น หาใช่การกระทำไม่
เมื่อฟ้องของโจทก์ระบุการกระทำผิดแต่เพียงว่าเจ้าทรัพย์ได้ไปขอไถ่แหวนเพชรที่จำนำจำเลยไว้ จำเลยไม่ยอมให้ไถ่ เช่นนี้ โจทก์จะนำสืบถึงการกระทำอย่างอื่นเพื่อแสดงว่าจำเลยเบียดบังเอาแหวนเพชรเป็นของตนก็ย่อมไม่ได้ เพราะเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
เมื่อฟ้องของโจทก์แม้จะสืบได้ความก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์มาแต่ต้น
___________________________
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2500 เวลากลางวัน จำเลยได้รับจำนำแหวนเพชร 1 วงราคา 1,200 บาทของนางกิมเอ็งไว้เป็นเงิน 150 บาท ในระหว่างวันที่ 25 มี.ค.2500 ถึงวันที่ 22 ก.ค. 2500 เวลาไม่ปรากฏ จำเลยบังอาจมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาแหวนเพชรดังกล่าวเป็นประโยชน์ของตนเสียโดย |