ซื้อขายที่ดินแล้วแต่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายมีผลเป็นอย่างไร |
---|
การซื้อขายที่ดินนั้นมีหลายประเภท ซึ่งการซื้อขายที่ดินแต่ละประเภทมีวิธีการซื้อขายที่แตกต่างกัน โดยที่ดินมีประเภทขายที่ดินดังนี้ ๑.ที่ดินประเภท นส๔ หรือโฉนดที่ดิน ๒.ที่ดินประเภท นส ๓ ๓.ที่ดินประเภท สค๑ ๔.ที่ดินประเภท ที่ดินมือเปล่า เป็นต้น ที่ดินเหล่านี้ มีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองอยู่ในตัวเอง โดยสามารถจำแนกประเภทออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ ที่ดินประเภทมีกรรมสิทธิ์ ได้แก่ ที่ดิน นส๔หรือโฉนดที่ดิน และอีกส่วนหนึ่งคือที่ดินประเภทสิทธิครอบครอง ได้แก่ ที่ดินประเภทหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือ นส๓. , ที่ดินประเภท สค๑ และ ที่ดินมือเปล่า การซื้อขายที่ดินประเภทสิทธิครองครอบ สามารถจำแนกออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทที่ ๑ การซื้อขายที่ดินประเภทหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือ นส๓ ซึ่งเป็นที่ดินที่สามารถซื้อขายกันโดยการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน ยกตัวอย่างเช่น นายก ต้องการซื้อที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากนาย ข จำนวน ๓ ไร่ เป็นเงินจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยตกลงที่จะไปทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน ต่อมาเมื่อถึงวันนัดจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าที่แล้ว นาย ก และนาย ข ชำระเงินและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน เช่นนี้ การซื้อขายที่ดินประเภทหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือ นส ๓ ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เป็นต้น หรือคู่สัญญาสามารถทำการซื้อขายที่ดินประเภทหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือ นส๓ ตามความเป็นจริง คือคู่สัญญาได้ทำการชำระราคาค่าที่ดินและส่งมอบการครอบครองในที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือนส ๓ ให้แก่กันเท่านั้น ผู้ซื้อที่ดินก็ได้สิทธิครอบครองในที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือ นส๓ ตามกฎหมายแล้ว ยกตัวอย่างเช่น นายก ต้องการซื้อที่ดินประเภทที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือนส๓ ของนาย ข จำนวน ๓ ไร่ โดยเสนอราคาค่าที่ดินดังกล่าว เป็นเงินจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท นาย ข ตกลงขายที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่นาย ก วันรุ่งขึ้น นายก นำเงินจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท มาชำระให้แก่นาย ข นาย ข ได้ส่งมอบที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่นาย ก เช่นนี้ นาย ก ได้สิทธิครอบครองในหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากนาย ข แล้ว โดยไม่ได้ต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน ดังเช่นกรณีแรก ทั้งนี้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2553 จ. ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ทั้งสองและมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองครอบครองแล้วในวันเดียวกัน เมื่อการซื้อขายมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่เป็นที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ จ. จึงมีแต่สิทธิครอบครอง เมื่อ จ.ได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองเป็นการสละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินพิพาทอีกต่อไป โจทก์ทั้งสองย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองตามมาตรา 1377, 1378 แล้ว จึงเป็นการได้มาด้วยการครอบครองฟ้องบังคับให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) และจดทะเบียนคัดชื่อจำเลยออกแล้วใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองแทนชื่อจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกอันเป็นการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสัญญาซื้อขายหาได้ไม่ และเมื่อโจทก์ทั้งสองไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวแก่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ จ. เจ้ามรดกแล้ว ก็ไม่มีปัญหาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1754 วรรคสาม หรือไม่ แต่โจทก์ทั้งสองได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้วจึงชอบที่จะขอให้ห้ามจำเลยรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทได้ ประเภทที่ ๒ คือ ที่ดินประเภท สค๑ ,ที่ดินมือเปล่า |
ต่อไปเป็นการซื้อขายที่ดินประเภทมีกรรมสิทธิ์ หรือการซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน หรือ นส๔ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ การซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดินนั้น จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน หากไม่ได้ทำตามแบบดังกล่าวแล้ว การซื้อขายที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ย่อมตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลตามกฎหมาย เช่น นาย ก ต้องการซื้อที่ดินที่มีโฉนดที่ดินของ นาย ข จำนวน ๒ ไร่ เป็นเงินจำนวน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท นาย ข ตกลงขายที่ดินให้แก่นาย ก โดยที่นายก และ นาย ข ไม่ได้ตกลงกันเพื่อไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงแต่ทำเป็นหนังสือสัญญาต่อกันเท่านั้น ในกรณีเช่นนี้ ตามกฎหมายเรียกว่า เป็นการซื้อขายที่ดินแบบเสร็จเด็ดขาด ทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดินระหว่าง นาย ก และนาย ข ตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ แต่หากว่า นาย ก และ นาย ข ได้ตกลงซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดินโดยตกลงทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินและจะไปดำเนินการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน เมื่อได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด มีผลทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดระหว่าง นายก และนาย ข มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ทำให้นาย ก ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่มีโฉนดนั้นนับแต่ได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน ดังเช่นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5929/2552 การซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 แต่หากผู้ซื้อได้ครอบครองที่ดินที่ซื้อขายกันโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทและครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้ร้อง ดังนั้น ปัญหาที่ว่า การซื้อขายที่ดินโดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากว่า เป็นการซื้อขายที่ดินที่สิทธิครอบครองเพียงอย่างเดียวการซื้อขายที่ดินดังกล่าว ย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แต่หากว่าเป็นการซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดินแล้วโดยไม่ได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินแล้ว การซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดนั้น ย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด แต่การที่ผู้ขายได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินที่ซื้อขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อแล้ว มีผลทำให้ผู้ซื้อที่ดินได้สิทธิครอบครอง หากปรากฏว่า ผู้ซื้อได้ครอบครองที่ดินโดยตลอดมาเป็นระเวลา ๑๐ ปี แล้ว ผู้ซื้อดังกล่าจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการได้กรรมสิทธิ์โดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรม ซึ่งผู้ซื้อจะได้กรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์แบบจะต้องร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง แล้วผู้ซื้อสามารถนำคำสั่งศาลไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินได้ สรุปได้ว่า การซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดินหากว่าไม่ได้ทำเป็นจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว การซื้อขายที่ดินย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด แต่อาจได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เพราะได้ครอบครองที่ดินมาเกินกว่า ๑๐ ปี นับแต่ได้รับการส่งมอบการครอบครอง |