ทะเลาวิวาทกันเกี่ยวกับการทำงานนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย |
---|
ก่อนอื่นท่านจะต้องทราบเสียก่อนว่า มีกฎหมายใดมาบังคับในกรณีที่มีการทะเลาวิวาทแล้วเป็นเหตุเลิกจ้างได้หรือไม่เสียก่อน ซึ่งมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องดังนี้ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คำอธิบายหลักกฎหมาย ประการแรก การทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง ในเหตุนี้ การกระทำของลูกจ้างไม่ว่าจะเป็นการกระทำต่อทรัพย์สินหรือเนื้อตัวร่างกายของนายจ้างก็ถือว่าเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 119(1) แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้างยักยอกเงินของนายจ้าง , ลูกจ้างด่าว่าหมิ่นประมาทนายจ้าง , ลูกจ้างปลอมแปลงใบลา เป็นต้น ประการที่สอง จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ในเหตุนี้ ไม่ได้มีความร้ายแรงถึงขนาดทุจริตอันเป็นนความผิดทางอาญา แต่การกระทำของลูกจ้างทำให้นายจ้างต้องเสียหายจากการกระทำของลูกจ้าง และการกระทำดังกล่าวเกิดจากความตั้งใจของลูกจ้างไม่ใช่การกระทำโดยประมาท ก็ถือว่าเป็นการกรทำผิดตามมาตรา 119(2) แล้ว เช่น ลูกจ้างจงใจขายสินค้าในราคาถูกให้แก่ลูกค้า , ลูกจ้างตั้งใจทำให้สินค้าของนายจ้างออกมาไม่ได้มาตรฐานของโรงงาน เป็นต้น ประการที่สาม ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตามมาตรา 119(3) ในกรณีนี้ ไม่ใช้การกระทำของลูกจ้างด้วยความตั้งใจ แต่เป็นการกระทำโดยประมาท ซึ่งประมาทนั้นหมายความว่า กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะพึ่งต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ หากลูกจ้างใช้ความระมัดระวังเช่นว่านี้แล้ว ความเสียหายจะไม่เกิดขึ้น และการกระทำโดยประมาทของลูกจ้างส่งผลทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เช่น ลูกจ้างสูบบุหรี่ข้างอาคารเก็บสินค้าที่มีกล่องกระดาษเป็นจำนวนมากและมีป้ายห้ามสูบบุหรี่ เมื่อเกิดไฟไหม้โกดังเป็นสินค้าของนายจ้างอันเนื่องมาจากการกระทำของลูกจ้าง เป็นต้น ประการที่สี่ เป็นการกระทำโดยฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้าง ไม่ว่าจะมีการร่างเป็นข้อบังคับหรือได้ถือปฎิบัติเช่นนี้มาเป็นเวลานานก็ถือว่าเป็นข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน นอกจากข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานแล้ว ยังมีความผิดที่มีโทษร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงด้วย หากเป็นโทษที่ไม่ร้ายแรงนายจ้างอาจจะทำหนังสือเตือนให้ลูกจ้างห้ามกระทำความผิดซ้ำอีก หากปรากฏว่าได้กระทำความผิดซ้ำคำเตือนอีกภายใน ๑ ปี นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างนั้นได้ แต่หากปรากฏว่า เป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้ทันที โดยไม่ต้องเตือนลูกจ้าง ทั้งนี้ เป็นไปตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานได้กำหนดเอาไว้ว่า กระทำผิดแบบไหนจึงเรียกว่า เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ประการที่ห้า ละทิ้งการทำงานไปเกินกว่าสามวัน ไม่ว่าเป็นวันหยุดคั่นหรือไม่ นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้ทันที เว้นแต่การขาดงานเกินกว่า 3 วันนั้น จะมีเหตุอันสมควรที่จะเป็นเหตุยกเว้นการกระทำต่อนายจ้างได้ ประการที่หก ต้องทำพิพากษาให้จำคุก ไม่ว่าคดีที่ศาลพิพากษาจะเกี่ยวข้องกับนายจ้างด้วยหรือไม่ก็ตาม เพราะลูกจ้างต้องเข้าเรือนจำรับโทษตามกฎหมายที่ศาลได้ตัดสินคดีไป ทำให้ไม่สามารถมาทำงานให้แก่นายจ้างได้ กฎหมายจึงกำหนดให้นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่ได้ต้องจ่ายค่าชดเชย เว้นแต่ความผิดนั้นจะเป็นความผิดโดยประมาท จะไม่ผิดตามมาตรานี้ เมื่อท่านเข้าใจในหลักกฎหมายดังกล่าวแล้ว มาถึงประเด็นว่า การทะเลาวิวาทกันเป็นความผิดที่นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้หรือไม่
|
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง แม้ จ. จะได้รับบาดเจ็บที่บริเวณดวงตาข้างซ้ายและลำตัวมีรอยฟกช้ำโดยสามารถไปทำงานได้ในวันรุ่งขึ้นและเหตุทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นหลังเวลาเลิกงานและนอกสถานที่ทำงานก็ตาม แต่สาเหตุที่โจทก์ทั้งสามกับ ภ. ร่วมกันทำร้าย จ. ก็เนื่องจากไม่พอใจ จ. เกี่ยวกับการทำงานและในที่ทำงาน หลังเลิกงานโจทก์ทั้งสามกับ ภ. ไปดักทำร้าย จ. ขณะลงจากรถรับส่งพนักงานของจำเลย อันมีลักษณะร่วมกันรุมทำร้าย จ. ฝ่ายเดียวและเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันจากภายในที่ทำการของจำเลย ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์เดียวกัน ทั้งขณะเกิดเหตุโจทก์ทั้งสาม ภ. และ จ. ยังคงสวมเครื่องแบบพนักงานของจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสามร่วมกันทำร้ายร่างกาย จ. อย่างอุกอาจไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย เป็นการกระทำต่อเพื่อนพนักงานด้วยกันในเรื่องที่มีสาเหตุจากการทำงานต่อหน้าเพื่อนพนักงานที่มากับรถรับส่งพนักงานของจำเลย อันเป็นการทำให้เสียภาพพจน์และทำให้ยุ่งยากในการปกครองบังคับบัญชาพนักงานในองค์กรของจำเลย การกระทำของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีที่ร้ายแรง
คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลแรงงานภาค 1 มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และเรียกจำเลยทั้งสามสำนวนว่า จำเลย โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่การงานเดิมโดยให้ได้รับค่าจ้างในอัตราไม่ต่ำกว่าเดิม ให้นับอายุงานต่อเนื่องจากเดิมก่อนถูกเลิกจ้าง และชดใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ทั้งสามขาดรายได้เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่โจทก์ทั้งสามได้รับนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงาน หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์ที่ 1 กลับเข้าทำงานได้ ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 16,470 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 4,209 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 57,096 บาท พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 และออกใบสำคัญแสดงการทำงานให้แก่โจทก์ที่ 1 จำเลยทั้งสามสำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานภาค 1 พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างของจำเลย วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 9 นาฬิกา นางสาวจิราวรรณ ทำงานอยู่ที่บริษัทจำเลยมีเรื่องโต้เถียงกับนางสาวจิราภรณ์ พนักงานของจำเลยเกี่ยวกับการทำงาน ต่อมาเวลาประมาณ 16 นาฬิกา ขณะนางสาวจิราวรรณรูดบัตรออกจากงานก็ยังมีการพูดจาเสียดสีกัน หลังจากนั้นนางสาวจิราวรรณขึ้นรถรับส่งพนักงานของจำเลยกลับบ้าน และมีพนักงานกลุ่มหนึ่งเดินทางโดยรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ขณะที่นางสาวจิราวรรณลงจากรถรับส่งพนักงานบริเวณสี่แยกหินกอง มีพนักงาน 3 คน คือโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 3 และนางสาวจิราภรณ์เข้ามารุมทำร้ายกระชากผมจนล้มลง และช่วยกันเตะกระทืบแล้ววิ่งหนีขึ้นรถที่โจทก์ที่ 2 นั่งรออยู่ โดยโจทก์ทั้งสามร่วมกับนางสาวจิราภรณ์ทำร้ายร่างกายนางสาวจิราวรรณจนได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาข้างซ้ายและลำตัวมีรอยฟกช้ำดำเขียว แล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสามถึงแม้จะเกิดนอกสถานที่ทำงาน แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากภายในบริษัทจำเลย ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์เดียวกัน อีกทั้งยังเป็นความผิดอาญา กรณีจึงเป็นความผิดร้ายแรง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสามเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีที่ร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า แม้นางสาวจิราวรรณจะได้รับบาดเจ็บที่บริเวณดวงตาข้างซ้ายและลำตัวมีรอยฟกช้ำดำเขียวโดยสามารถไปทำงานได้ในวันรุ่งขึ้น และเหตุทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นหลังเวลาเลิกงานและนอกสถานที่ทำงานก็ตาม แต่สาเหตุที่โจทก์ทั้งสามและนางสาวจิราภรณ์ร่วมกันรุมทำร้ายนางสาวจิราวรรณก็เนื่องจากไม่พอใจนางสาวจิราวรรณเกี่ยวกับการทำงาน นางสาวจิราภรณ์กับนางสาวจิราวรรณพูดจาเสียดสีโต้ตอบกันในระหว่างเวลาทำงานและในที่ทำงาน หลังจากเลิกงานแล้วโจทก์ทั้งสามและนางสาวจิราภรณ์ได้ร่วมกันไปดักทำร้ายร่างกายนางสาวจิราวรรณขณะกำลังลงจากรถรับส่งพนักงานของจำเลยบริเวณสี่แยกหินกอง โดยโจทก์ที่ 1 และนางสาวจิราภรณ์กระชากผมนางสาวจิราวรรณจนล้มลงแล้วช่วยกันเตะกระทืบ ส่วนโจทก์ที่ 3 ยืนคุมเชิงอยู่ แล้วพากันวิ่งขึ้นรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 เพื่อหลบหนี อันมีลักษณะเป็นการรุมทำร้ายนางสาวจิราวรรณฝ่ายเดียว และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันจากภายในที่ทำการของจำเลย กรณีถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์เดียวกัน ทั้งข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันได้ความว่า ขณะเกิดเหตุทำร้ายร่างกายนั้นโจทก์ทั้งสาม นางสาวจิราภรณ์และนางสาวจิราวรรณยังคงสวมเครื่องแบบพนักงานของจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสามร่วมกันทำร้ายร่างกายนางสาวจิราวรรณอย่างอุกอาจไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย เป็นการกระทำต่อเพื่อนพนักงานด้วยกันในเรื่องที่มีสาเหตุจากการทำงานต่อหน้าเพื่อนพนักงานที่มากับรถรับส่งพนักงานของจำเลย อันเป็นการทำให้เสียภาพพจน์และทำให้ยุ่งยากในการปกครองบังคับบัญชาพนักงานในองค์กรของจำเลย การกระทำของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีที่ร้ายแรงตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หมวดที่ 8 การกระทำที่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ข้อ 23.3 ก่อการทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายร่างกายผู้อื่น และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4) จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ทั้งการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามด้วยเหตุดังกล่าวถือว่ามีเหตุอันสมควรและเพียงพอ มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานตามเดิม ที่ศาลแรงงานภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
บทความที่น่าสนใจ-การกระทำความผิดซ้ำคำเตือนนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ |