เช็คเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินหรือไม่ |
---|
ในบางครั้งการกู้ยืมเงินไม่ได้ทำเป็นหลักฐานเป็นหนังสือระหว่างผู้ให้กู้กับผู้กู้เอาไว้ แต่มีการเขียนเช็คสั่งจ่ายส่งมอบให้แก่ผู้กู้ไปแล้ว อย่างนี้ถือว่าเป็นการหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้หรือไม่ เพราะในเมื่อได้สั่งจ่ายเงินตามที่ผู้กู้ต้องการแล้ว และผู้กู้ได้รับเงินจากผู้ให้กู้ไว้แล้วครบถ้วน ในประเด็นนี้ ตามกฎหมายแล้วจะถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่ใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องคดีหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่า หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นมีข้อความระบุไว้หรือไม่ว่า เป็นการรับเงินไว้แล้วจะใช้คืน หากว่าเอกสารดังกล่าวได้มีข้อความว่า ได้รับเงินแล้วจะใช้คืน ก็ถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้ โดยหลักการนี้ ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาไว้ยืนยันไว้ในคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๑๘๓/๒๕๕๖ คดีนี้โจทก์ฟ้องให้บังคับจำเลยรับผิดในมูลหนี้สัญญากู้ยืมเงินจึงตกอยู่ภายใต้บังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง ที่ต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดง อย่างไรก็ดี เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินไม่จำเป็นต้องระบุชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ยืมโจทก์ เพียงมีข้อความแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีหนี้สินอันจะพึ่งต้องชำระให้แก่โจทก์ และโจทก์สามารถนำสืบพบายบุคคลเพื่ออธิบายว่าหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นเป็นหนี้อันเกิดจากนิติสัมพันธ์ในเรื่องกู้ยืมได้ ดังนั้น กลับพิจารณาว่า เช็คที่สั่งจ่ายให้แก่ผู้กู้นั้น ว่ามีข้อความระบุไว้ว่า ผู้ยืมได้รับเงินจำนวนเท่านั้นเท่านี้และจะใช้เงินคืนให้แก่ผู้ให้กู้หรือไม่ หากว่าไม่ได้ระบุไว้ในเช็คสั่งจ่ายตามเนื้อความดังกล่าวแล้ว ย่อมไม่อาจถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง |
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 611,250 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเช็คที่จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมอบให้แก่นางมาลัยเพื่อเป็นการประกันการกู้เงิน โดยไม่ได้กรอกข้อความหรือไม่ ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า จำเลยกู้ยืมเงินนางมาลัยแล้วมอบเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้ไว้เป็นประกันเงินกู้โดยจำเลยเพียงแต่ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย ไม่ได้กรอกข้อความและจำนวนเงินไว้ นางมาลัยกรอกข้อความและจำนวนเงินในภายหลัง แล้วโจทก์จึงนำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เช็คพิพาททั้งสองฉบับมีรายการขาดตกบกพร่องในขณะออกเช็ค โดยไม่มีคำสั่งปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอนตาม ป.พ.พ. มาตรา 988 (2) จึงไม่สมบูรณ์เป็นเช็คตาม ป.พ.พ. มาตรา 987 และมาตรา 910 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง ทั้งเช็คพิพาททั้งสองฉบับก็มิใช่หลักฐานการกู้เงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับได้ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และฎีการวม 15,000 บาท แทนจำเลย. โดยมีหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องดังนี้ |