เมื่อลูกหนี้ตายเจ้าหนี้จะฟ้องทายาทลูกหนี้รับผิดได้หรือไม่ |
---|
การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งถึงแก่ความตายไปแล้ว ย่อมมีทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาท และยังมีหนี้ที่เจ้ามรดกทิ้งไว้ในทายาทของเจ้ามรดกนั้น จึงมีปัญหาตามมาว่า เจ้าหนี้ของเจ้ามรดกจะฟ้องเรียกร้องให้แก่ทายาทของลูกหนี้รับผิดชอบชดใช้หนี้ให้แก่เจ้ามรดกเพียงได้ใด วันนี้เราจะมาหาคำตอบจากบทความนี้กัน ก่อนอื่นผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจเสียก่อนว่า ทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก ไม่ได้มีแก่ทรัพย์สินเท่านั้น แต่มีหนี้สินของเจ้ามรดก รวมอยู่ด้วย หนี้ของเจ้ามรดกนั้น โดยเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 ต่อมามีข้อพิจารณาว่า หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ เจ้าหนี้สามารถฟ้องทายาทได้หรือไม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ได้คำตอบว่า แม้จะไม่ถึงกำหนดชำระเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย เจ้าหนี้ก็สามารถเรียกร้องเอาหนี้นั้นได้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า เจ้าหนี้สามารถฟ้องให้ทายาทรับผิดในหนี้ได้ โดยหนี้ของเจ้ามรดกนั้น แม้ไม่ถึงกำหนดชำระเจ้าหนี้ก็สามารถฟ้องร้องเอากับทายาทเจ้ามรดกได้ จากข้อกฎหมายดังกล่าวจึงนำไปสู่ปัญหาประการต่อไปว่า แล้วทายาทจะต้องรับผิดชดใช้หนี้เพียงใด ซึ่งมีคำตอบว่า ทายาทผู้ที่ได้รับทรัพย์มรดกจากเจ้ามรดกหรือไม่ได้รับทรัพย์มรดกจากเจ้ามรดกก็มีสิทธิถูกฟ้องคดีจากเจ้าหนี้ให้รับผิดชอบหนี้มรดกได้ แต่หนี้นั้นจะผูกพันทายาทผู้นั้น เพียงใดนั้น ต้องพิจารณาว่า ทายาทผู้นั้น ได้รับทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกมาเพียงใด หากว่าทายาทคนนั้นได้รับทรัพย์มรดกมาเพียง 100,000 บาท แต่เจ้าหนี้ฟ้องร้องให้ทายาทรับผิดชอบ 3,000,000 บาท ทายาทคนดังกล่าว ก็คงรับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับ คือ จำนวน 100,000 บาท นั้นเอง ส่วนอีก 2,900,000 บาท นั้น เจ้าหนี้จะฟ้องไปสืบหาทรัพย์มรดกที่เหลือว่าใครได้ทรัพย์มรดกไปเพียงใด หากปรากฏว่า สืบหาไม่พบหรือไม่มีทรัพย์มรดกหลงเหลือแล้ว เจ้าหนี้ย่อมขาดทุน เมื่อท่านผู้อ่านทราบแล้วว่า ทายาทจะต้องรับผิดเพียงเท่าที่ได้รับทรัพย์มรดกเท่านั้น ดังนั้น หากปรากฏว่า ทายาทผู้นั้นไม่ได้รับทรัพย์มรดกจากเจ้ามรดกเลย ทายาทผู้นั้นอาจถูกฟ้องคดีในฐานะทายาทของเจ้ามรดก และต้องรับผิดชดใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น ส่วนเจ้าหนี้จะมายึดทรัพย์สินของทายาทผู้นั้นโดยตรงไม่ได้ เพราะทายาทคนดังกล่าวไม่ได้รับทรัพย์มรดกจากเจ้ามรดกเลย ทายาทคนดังกล่าวจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้แต่อย่างใด ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601 หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาตรา 1600 ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ มาตรา 1601 ทายาทไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน คำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2551 |
ผู้ตายทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ว่าจะนำเงินที่ได้จากโครงการออกก่อนเกษียณราชการชำระหนี้แก่โจทก์ 100,000 บาท หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน สำนักงานตำรวจแห่งชาติอนุมัติให้ผู้ตายลาออกจากราชการแล้ว ดังนั้นเมื่อผู้ตายได้รับอนุมัติให้ลาออกและมีสิทธิรับเงินตามโครงการออกก่อนเกษียณราชการย่อมถือว่าเงื่อนไขบังคับก่อนที่ผู้ตายต้องรับผิดชอบชำระเงินให้แก่โจทก์ได้สำเร็จเป็นผลให้โจทก์เกิดสิทธิที่จะได้เงินจากผู้ตายได้แล้ว ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตาย ความรับผิดของผู้ตายต่อโจทก์ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1600 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทย่อมต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้ตาย แต่ไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1601 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จ แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ในข้อกฎหมายว่า การที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องต่อศาลในวันที่ 13 สิงหาคม 2547 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ทางราชการได้โอนเงินเข้าบัญชีผู้ตายนั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกิดขึ้นแล้วหรือไม่ อันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องแล้วหรือไม่ เห็นว่า ผู้ตายทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ว่าจะชำระเงินให้โจทก์ 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าจะชำระเงินให้โจทก์เมื่อผู้ตายได้รับอนุมัติให้ลาออกจากราชการตามโครงการออกก่อนเกษียณราชการ โดยจะนำเงินที่ได้จากโครงการดังกล่าวให้แก่โจทก์ ปรากฏว่าผู้ตายได้รับคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติอนุมัติให้ลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 ผู้ตายย่อมมีสิทธิที่จะได้รับเงินจากการลาออกตามโครงการออกก่อนเกษียณราชการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 อันเป็นวันที่ได้รับอนุมัติให้ลาออกจากราชการซึ่งทางราชการต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ตายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นต้นไป เมื่อผู้ตายได้รับอนุมัติให้ลาออกและมีสิทธิรับเงินตามโครงการออกก่อนเกษียณราชการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 ย่อมถือได้ว่าเงื่อนไขบังคับก่อนที่ผู้ตายต้องรับผิดชอบชำระเงิน 100,000 บาท ให้แก่โจทก์ได้สำเร็จแล้วเป็นผลให้โจทก์เกิดสิทธิที่จะได้เงินจากผู้ตายได้แล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2547 ผู้ตายถึงแก่ความตาย ความรับผิดของผู้ตายต่อโจทก์ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1600 จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทย่อมต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้ตาย แต่ไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยทั้งสี่ทันทีตั้งแต่วันที่ผู้ตายถึงแก่ความตาย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยทั้งสี่จึงมีขึ้นก่อนฟ้องคดีนี้แล้ว ทั้งได้ความว่าก่อนฟ้องคดีโจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้วแต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
ท่านสามารถอ่านบทความเกี่ยวข้องกับบทความนี้ได้จากลิงค์ข้างล่างนี้-หากศาลตั้งผู้จัดการมรดกหลายคน คนใดตายจะต้องดำเนินการอย่างไร -สิทธิและหน้าที่ของผู้จัดการมรดก |