ให้เขียนใบลาออกโดยไม่สมัครใจเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม |
---|
ในบางครั้ง การที่นายจ้างต้องการให้ลูกจ้างออกจากงานโดยต้องเลี่ยงกฎหมายทุกวิธี เพื่อให้หลุดพ้นจากกฎหมายแรงงาน ซึ่งลูกจ้างบางรายนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินทดแทนการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม รวมๆแล้ว เป็นเงินหลายแสน หรือบางกรณีเป็นเงินจำนวนหลายล้านบาท เพราะอายุของการทำงานของลูกจ้างรายนั้น ได้ทำงานให้แก่นายจ้างมาเป็นเวลานาน ซึ่งนายจ้างในบางกรณีก็อาจเกิดความคิดที่จะให้ลูกจ้างออกจากงานโดยการให้ลูกจ้างเขียนใบลาออก เพราะจะได้หลุดพ้นจากพันธกรณีตามกฎหมายแรงงานดังกล่าว จึงมีประเด็นว่า การที่นายจ้างให้ลูกจ้างเขียนใบลาออกมีผลตามกฎหมายหรือไม่ การลาออกเขียนใบลาออกถือว่าเป็นการแสดงเจตนาในการทำนิติกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องเกิดจากความสมัครใจของลูกจ้าง โดยไม่มีกฎหมายรับรองว่า ใบลาออกจะต้องทำเป็นหนังสือจึงจะเป็นการเลิกจ้างที่ถูกต้อง หรือแม้ว่า ได้จัดทำเป็นหนังสือระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างแล้ว แต่ในบางกรณี นายจ้างยังคงมีอำนาจเหนือลูกจ้างในกรณีเป็นผู้บังคับบัญชาอาจจะใช้อำนาจนี้บังคับให้ลูกจ้างเขียนใบลาออกหรือลงลายมือชื่อในใบลาออกก็ได้ กฎหมายจึงเปิดโอกาสให้ลูกจ้างที่ประสบปัญหาว่า ถูกบังคับให้เขียนใบลาออก มีสิทธิที่จะนำพยานบุคคลมายืนยันได้ว่า ลูกจ้างถูกนายจ้างบังคับให้เขียนใบลาออกได้ เมื่อปรากฏว่า ข้อเท็จจริงในการสืบพยานในชั้นศาล ลูกจ้างสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้เต็มใจในการเขียนใบลาออกแล้ว ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยนายจ้าง และเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามกฎหมายด้วย โดยในกรณีดังกล่าว ได้เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ได้ตัดสินคดีอย่างเช่นกรณีนี้ไว้ดังต่อไปนี้
การบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นกรณีนายจ้างแสดงเจตนาเลิกจ้างหรือลูกจ้างแสดงเจตนาลาออก ไม่มีกฎหมายบังคับว่าผู้แสดงเจตนาจะต้องทำตามแบบหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงมิใช่กรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ไม่อยู่ภายใต้บังคับ ป.วิ.พ. มาตรา 94 แม้โจทก์ทั้งสองจะรับว่าได้ลงชื่อในใบลาออกแล้วก็ตาม แต่ก็ยังสามารถนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่าที่โจทก์ทั้งสองยอมลงชื่อในใบลาออกนั้นเพราะถูกจำเลยบังคับขู่เข็ญ ที่ศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจพิเคราะห์พยานบุคคลประกอบเหตุผลแวดล้อมต่าง ๆ แล้วฟังว่าโจทก์ทั้งสองไม่สมัครใจลงชื่อในใบลาออก เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบแล้ว แม้จำเลยจะอ้างว่าจำเลยประสบภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี มีความจำเป็นต้องลดรายจ่าย จึงมีโครงการปรับโครงสร้างองค์กรลดจำนวนลูกจ้างลง ซึ่งหากเป็นจริงก็เป็นปัญหาทางธุรกิจโดยรวมที่มีเหตุผลความจำเป็นสามารถอ้างเป็นเหตุเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม หากมีการแจ้งเหตุผลความจำเป็น กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการเลิกจ้าง การคัดเลือกลูกจ้างที่จะให้ออกไว้แน่นอนและเป็นธรรม ประกาศให้ลูกจ้างทราบทั่วกัน และดำเนินการตามหลักเกณฑ์วิธีการดังกล่าวโดยไม่เลือกปฏิบัติ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ประกาศแจ้งเหตุผลความจำเป็น หลักเกณฑ์ วิธีการคัดเลือกลูกจ้างให้ทราบโดยทั่วกัน ใช้หลักเกณฑ์ใดในการคัดเลือกโจทก์ทั้งสองเป็นเป้าหมายในการให้ออกจากงาน นอกเหนือไปจากการที่โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างที่ได้รับค่าตอบแทนการจ้างสูง ที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาตัวเต็ม
|
และมอบเงินช่วยเหลือให้ แล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยจัดเตรียมใบลาออก อนุมัติเงินค่าใช้จ่ายและออกเช็คสั่งจ่ายเงินดังกล่าวเอาไว้ก่อนเช่นนี้แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยประสงค์จะปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการบริหารโดยให้ลูกจ้างลาออกโดยสมัครใจนั้น จำเลยก็ไม่ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าก่อน ทั้งที่จำเลยมีระเบียบว่าหากลูกจ้างจะลาออกต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าโจทก์ทั้งสองลาออกจึงขัดต่อเหตุผล จำเลยยังเรียกโจทก์ทั้งสองไปพบและแจ้งในลักษณะรวบรัดตัดตอนว่าผู้บริหารจำเลยมีมติให้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสองแล้ว หากโจทก์ทั้งสองไม่ยอมลงชื่อในใบลาออกก็จะถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับค่าชดเชย หลังจากนั้นจำเลยมีหนังสือแจ้งสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนของโจทก์ทั้งสองว่า เนื่องจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองซึ่งในการตีความการแสดงเจตนานั้นจะต้องพิเคราะห์ถึงเจตนาที่แท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 ทั้งการใช้สิทธิของตนก็ต้องกระทำโดยสุจริต เมื่อจำเลยเป็นนายจ้างซึ่งมีอำนาจบังคับเหนือโจทก์ทั้งสองมีเจตนาที่จะให้โจทก์ทั้งสองพ้นจากการเป็นลูกจ้าง พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมแสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองมาก่อนแล้ว โจทก์ทั้งสองหาได้มีเจตนาที่จะลาออกแต่อย่างใด ส่วนการที่จำเลยมีหนังสือแจ้งสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนของโจทก์ทั้งสองอีกครั้งหนึ่งโดยระบุว่าโจทก์ทั้งสองลาออกนั้นก็เป็นพิรุธ ส่วนรายงานแจ้งการสิ้นสุดการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นจำเลยก็จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้ตามรายงานดังกล่าวจะระบุว่าโจทก์ทั้งสองลาออกก็ขัดกับพฤติการณ์ของจำเลย จึงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ลาออก แต่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง ที่จำเลยอ้างว่าเลิกจ้างเพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี จำต้องปรับโครงสร้างองค์กร โดยการปรับลดลูกจ้างเพื่อลดค่าใช้จ่ายนั้น จำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าขณะเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง จำเลยมีฐานะทางการเงินอย่างไรและประสบปัญหาการขาดทุนถึงขนาดหรือไม่ ส่วนเหตุผลในการลดค่าใช้จ่ายก็เป็นข้ออ้างของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเพียงฝ่ายเดียว ไม่ปรากฏว่าดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในการลดลูกจ้าง โดยให้ลูกจ้างได้รับประโยชน์จากนายจ้างในจำนวนเพียงพอที่จะสมัครใจออกจากงานไปด้วยความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการประเมินความสามารถหรือคุณค่าของลูกจ้างที่เลิกจ้างไปโดยให้ลูกจ้างสามารถตรวจสอบและทักท้วงได้ จึงเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม สมควรกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสอง
บทความอื่นที่สนใจเกี่ยวกับการเลิกจ้าง-การกระทำความผิดซ้ำคำเตือนนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ -เลิกจ้างแล้วมีสิทธิได้ค่าชดเชย - เลิกจ้างได้ค่าชดเชยอย่างไรและเงื่อนไขการได้ค่าชดเชย - ทะเลาวิวาทกันเกี่ยวกับการทำงานนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย |