| คืนเกิดเหตุจำเลยที่  2 กับจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ไปยังที่เกิดเหตุพร้อมกับอาวุธปืน เมื่อจำเลยที่ 2  เห็นผู้เสียหายที่บริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุเข้าใจว่าเป็นพวกของ บ.  จำเลยที่ 2 จึงใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นที่พกติดตัวมายิงไปที่ผู้เสียหายนั่งอยู่เพราะสำคัญผิดคิดว่าผู้เสียหายเป็นพวกของ  บ. แต่จำเลยที่ 2 ก็จะยกเอาความสำคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวหาได้ไม่  ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาที่จะกระทำต่อพวกของ บ. เช่นใด  ก็ต้องรับผิดในผลของการกระทำที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายเช่นนั้นตาม ป.อ. มาตรา 61  การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยสำคัญผิดตาม  ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 คำพิพากษาศาลฎีกาที่  8731/2561โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  32, 33, 80, 83, 91, 288, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน  เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ  ริบอาวุธปืนและลูกกระสุนปืนของกลาง
 จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
 จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต  และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน  หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร  ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 288 ประกอบมาตรา 61, 80 (ที่ถูก  มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80) และมาตรา 371,  376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด  ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,  8 ทวิ วรรคหนึ่ง (ที่ถูก วรรคสอง), 72 วรรคหนึ่ง,  72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็น ความผิดหลายกรรมต่างกัน  ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันยิงปืนโดยใช่เหตุ ในเมือง  หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท  ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น  ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 10 ปี  ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี  ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร  เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ  ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 11  ปี 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา  มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ฐานละหนึ่งในสาม  และลดโทษให้จำเลยที่ 2 เฉพาะความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นหนึ่งในสาม  คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 8  เดือน  สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง  หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ  เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 2 ฐานดังกล่าวกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่  2 มีกำหนด 6 ปี 17 เดือน ริบอาวุธปืนและลูกกระสุนปืนของกลาง
 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
 จำเลยที่ 2 ฎีกา
 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า  ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่นายก้อเดช  ผู้เสียหายนั่งคุยกับนางสาววันเพ็ญ บนแคร่ไม้หน้าบ้านเกิดเหตุ จำเลยที่ 1  ขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 มายังที่เกิดเหตุ  โดยจำเลยที่ 2 ถืออาวุธปืนลูกซองสั้น ต่อมามีเสียงปืนดัง 1  นัด  กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่บริเวณหลังด้านซ้ายกระสุนปืนฝังในใกล้กระดูกสันหลังซึ่งแพทย์ไม่สามารถผ่าเอากระสุนปืนออกมาได้  ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหาย  ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง  หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร  จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับคดีในส่วนของจำเลยที่ 2 ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต  และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร  จำเลยที่ 2 ไม่ฎีกา  ความผิดทั้งสองฐานจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
 คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2  เพียงว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่  โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ตั้งใจยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่นายบุญพลัด  กับพวก แต่ปืนลั่นกระสุนปืนไปถูกผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนายิงผู้เสียหาย  โจทก์มีผู้เสียหาย นางสาววันเพ็ญ นายชาตรี และนายสุเชาว์  เป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่าขณะที่ผู้เสียหายนั่งคุยกับนางสาววันเพ็ญบนแคร่ไม้หน้าบ้านเกิดเหตุ  มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายล้มลง  แล้วคนร้ายวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่มีคนขับจอดรออยู่  ขับหลบหนีไปนายบุญพลัดเบิกความว่า เดิมพยานกับนางสาวคำแพง เป็นคนรักกัน  พักอาศัยอยู่ห้องเช่าและมีร้านขายของชำที่ทำร่วมกันอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ  ต่อมานางสาวคำแพงไปคบหากับจำเลยที่ 2 จึงเป็นเหตุให้พยานเลิกรากับนางสาวคำแพง  แล้วนางสาวคำแพงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 2 คืนเกิดเหตุพยานปิดร้านขายของชำแล้วกลับไปพักที่ห้องเช่าได้มีนายสุเชาว์มาหาที่ห้องเช่า  จนถึงเวลาประมาณ 23 นาฬิกา นายสุเชาว์ออกจากห้องเช่าเพื่อจะขับรถจักรยานยนต์กลับบ้าน  พยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด  สักครู่นายสุเชาว์กลับมาหาพยานบอกว่ามีคนถูกยิง  พยานไปดูที่เกิดเหตุจึงทราบว่าผู้เสียหายถูกยิงและสอบถามนายบังฮี ไม่ทราบชื่อสกุล  ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านได้ความว่าก่อนเกิดเหตุมีวัยรุ่น 2 คน  ขับรถจักรยานยนต์วนเวียนไปมาบริเวณร้านขายของชำของพยานและคนนั่งซ้อนท้ายทำท่าชักอาวุธปืนเล็งมาที่ร้าน  แต่มีรถกระบะแล่นสวนมาทำให้วัยรุ่นคนนั่งซ้อนท้ายเก็บอาวุธปืนไว้ที่เอว  นายบังฮีจึงมาที่ห้องเช่าของพยานเพื่อจะแจ้งเรื่องดังกล่าวให้พยานทราบ เพราะเชื่อว่าคนร้ายน่าจะมายิงพยาน  ต่อมาพยานไปให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ร้อยตำรวจโทอุกฤษณ์  เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรถลางเบิกความว่า  หลังได้รับแจ้งเหตุจึงไปที่เกิดเหตุและสอบถามชาวบ้านถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  จึงทราบว่าคนร้ายน่าจะเป็นจำเลยที่ 1 พยานจึงไปที่บ้านของจำเลยที่  1 พบจำเลยที่ 1 จึงสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  จำเลยที่ 1 ให้การยอมรับว่า คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ไปที่ห้องเช่าของจำเลยที่ 2 และชวนจำเลยที่  2 ไปตามหานายบัลลังค์ ไม่ทราบชื่อสกุล  ที่บ้านบางโรงเพราะมีเรื่องไม่พอใจกันแต่ตามหาไม่พบ จำเลยที่ 2 จึงให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปบ้านอ่าวปอ  เมื่อผ่านหน้าร้านขายของชำของนายบุญพลัด จำเลยที่ 2 ชักอาวุธปืนออกจากเอวเล็งไปที่ร้าน  แต่มีรถกระบะแล่นสวนมา จำเลยที่ 2 กลัวยิงโดนคนอื่นจึงเก็บอาวุธปืนไว้ที่เอวตามเดิม  จากนั้นจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปบริเวณที่เกิดเหตุ  เมื่อเห็นผู้เสียหายนั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้านเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 จึงใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้เสียหาย 1 นัด  ทั้งนี้เพราะจำเลยที่ 2 เข้าใจว่าผู้เสียหายคือนายฟารุส  ไม่ทราบชื่อสกุล ซึ่งเป็นเพื่อนของนายบุญพลัดที่ไปทำร้ายนางสาวคำแพงก่อนหน้านี้  ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้และส่งตัวมาควบคุมที่สถานีตำรวจภูธรถลาง  พยานจึงสอบถามจำเลยที่ 2 ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จำเลยที่ 2  ให้การยอมรับว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อเหตุใช้ปืนยิงผู้เสียหายโดยเข้าใจผิดว่ากลุ่มของผู้เสียหายไปทำร้ายนางสาวคำแพง  ตามบันทึกคำให้การ เห็นว่า จากทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 รู้จักกับผู้เสียหายมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 2 จะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่ได้ความจากคำเบิกความของนายบุญพลัดว่า  เดิมนางสาวคำแพงเป็นคนรักของพยาน ต่อมานางสาวคำแพงไปคบหากับจำเลยที่ 2 จึงเป็นเหตุให้พยานเลิกรากับนางสาวคำแพง  แล้วนางสาวคำแพงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 2 ซึ่งนางสาวคำแพงพยานโจทก์เบิกความยอมรับยืนยันว่าเป็นความจริง  และยังรับว่าเลิกรากันไปแล้ว ตนขอเงินนายบุญพลัด 100,000 บาท  เป็นค่าร้านขายของชำที่เคยทำร่วมกัน แต่นายบุญพลัดให้มาเพียง 30,000 บาท และนายฟารุสเพื่อนของนายบุญพลัดยังมาตบตีทำร้ายตนก่อนหน้านี้อีกด้วย  นอกจากนี้นางสาวคำแพงยังเบิกความถึงเรื่องที่ผู้เสียหายถูกยิงด้วยว่า  ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มาหาจำเลยที่ 2 ที่ห้องเช่าและชวนจำเลยที่ 2 ไปตามหานายบัลลังค์ที่บ้านบางโรงเพราะมีเรื่องไม่พอใจกัน  ต่อมาจำเลยที่ 2 กลับมาที่ห้องเช่าและได้เล่าให้ตนฟังว่า  จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ไปตามหานายบัลลังค์แต่ไม่พบ  จำเลยที่ 2 จึงชวนให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปบ้านอ่าวปอเพื่อตามหานายบุญพลัด  เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2  ใช้อาวุธปืนยิงไปที่บริเวณห้องพักของนายบุญพลัด  แล้ววันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 2 ก็พาตนหลบหนีไป  ซึ่งพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ตามที่นางสาวคำแพงเบิกความสอดคล้องกับที่จำเลยทั้งสองให้การไว้ในชั้นจับกุมต่อร้อยตำรวจโทอุกฤษณ์  นอกจากนี้ร้อยตำรวจเอกวีรชาติ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า หลังจากจำเลยที่ 2 ถูกจับกุมพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 2 ว่าร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต  ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง  หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร  และยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน จำเลยที่ 2  ให้การว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยที่  2 ไปตามหานายบัลลังค์ที่บ้านบางโรงแต่ไม่พบ จำเลยที่ 2  จึงชวนให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปบ้านอ่าวปอเพื่อไปดูร้านขายของชำของนายบุญพลัด  ซึ่งเดิมนางสาวคำแพงเคยทำร้านขายของชำร่วมกับนายบุญพลัดมาก่อน  แต่หลังจากเลิกรากันแล้วนายบุญพลัดได้ยึดร้านขายของชำเป็นของตนฝ่ายเดียว  และยิ่งกว่านั้นพวกของนายบุญพลัดยังไปตบตีทำร้ายนางสาวคำแพงก่อนเกิดเหตุ 1 วัน เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปถึงหน้าร้านขายของชำของนายบุญพลัด  จำเลยที่ 2 จึงชักอาวุธปืนออกมาจากเอวกะว่าจะยิงขู่ขึ้นฟ้า  แต่มีรถยนต์แล่นผ่านไปมาจึงไม่ได้ยิง จากนั้นจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่  1 ขับรถไปบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อจะไปยิงปืนขู่ที่หน้าบ้านของนายบุญพลัด  เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุจำเลยที่ 2  ก็ชักอาวุธปืนยิงไปในรัศมี 45 องศา ด้วยมือขวาข้างเดียว  แล้วจำเลยที่ 1 ขับรถเร่งความเร็วหลบหนีไป  พยานโจทก์ที่นำสืบมาดังกล่าวสอดคล้องกันน่าเชื่อว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 2  ให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ไปยังที่เกิดเหตุพร้อมกับอาวุธปืน  เมื่อจำเลยที่ 2 เห็นผู้เสียหายที่บริเวณหน้าบ้านเกิดเหตุเข้าใจว่าเป็นพวกของนายบุญพลัด  จำเลยที่ 2 จึงใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นที่พกติดตัวมายิงไปที่ผู้เสียหายนั่งอยู่เพราะสำคัญผิดคิดว่าผู้เสียหายเป็นพวกของนายบุญพลัด  แต่จำเลยที่ 2 ก็จะยกเอาความสำคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวหาได้ไม่  ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาที่จะกระทำต่อพวกของนายบุญพลัดเช่นใด  ก็ต้องรับผิดในผลของการกระทำที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายเช่นนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 61 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยสำคัญผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ที่จำเลยที่ 2  ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนายิงผู้เสียหายเพียงแต่ต้องการยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่พวกของนายบุญพลัด  แต่จำเลยที่ 2 ยังมิได้ลงมือกระทำเนื่องจากปืนลั่นไปถูกผู้เสียหาย  นั้น เห็นว่า หากจำเลยที่ 2 ทำปืนลั่นจริงก็น่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ตั้งแต่ต้น  แต่ในชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 อ้างต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมว่าเป็นการยิงผิดตัว  ชั้นสอบสวนอ้างต่อพนักงานสอบสวนว่าเป็นการยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่นายบุญพลัด  และในชั้นพิจารณาของศาลจำเลยที่ 2 กลับอ้างว่าทำปืนลั่น  ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 จึงไม่อยู่กับร่องกับรอย  ไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้ดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา  ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายและพิพากษาลงโทษจำเลยที่  2 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ขอให้ลงโทษเบาลง นั้น เห็นว่า ความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น  ศาลล่างทั้งสองลงโทษขั้นต่ำและลดโทษให้อีกหนึ่งในสาม จึงเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2  อยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่จะลดโทษลงได้อีก ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
 พิพากษายืน
               
                         
                                                           |