สำนักงานกฎหมาย

นพนภัส

ทนายความเชียงใหม่

การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด

การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเด็กหญิง ยินยอมให้จำเลยพยายามกระทำชำเราและกระทำอนาจาร การกระทำของจำเลยก็ยังเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เสียหายที่ 2 แม้จะมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้แล้ว และยังคงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยแทนผู้เสียหายที่ 2 ได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1586/2562
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 277, 279, 283 ทวิ, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นาง ส. ผู้ร้องที่ 1 และเด็กหญิง ด. โดยนาง ส. มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องในคดีส่วนแพ่ง ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 600,000 บาท และ 300,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง
จำเลยไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก วรรคสาม ประกอบมาตรา 80, 279 วรรคแรก, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคหนึ่ง วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร ตามฟ้องข้อ 1.1, 1.3, 1.5, 1.7 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 20 ปี ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามกระทำชำเรา ตามมาตรา 277 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ตามฟ้องข้อ 1.2, 1.4, 1.6 จำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารฯ ตามมาตรา 279 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ตามฟ้องข้อ 1.8 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 32 ปี 30 เดือน ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องที่ 1 ให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์และให้ยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหายที่ 1 ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าเด็กหญิง ด. ผู้เสียหายที่ 2 เป็นบุตรของนาง ส. ผู้เสียหายที่ 1 กับนาย ม. บิดามารดาของผู้เสียหายที่ 2 หย่าร้างกัน ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ไปทำงานที่กรุงเทพมหานคร ส่วนผู้เสียหายที่ 2 อยู่ในความดูแลของนาย พ. มีศักดิ์เป็นตาของผู้เสียหายที่ 2

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายที่ 2 เพียงผู้เดียวที่ประสบเหตุการณ์รายนี้เป็นพยาน แต่ขณะเกิดเหตุครั้งแรกผู้เสียหายที่ 2 มีอายุเพียง 12 ปี และกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งไม่ปรากฏเคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 มีรายละเอียดลำดับเรื่องราวเช่นเดียวกับบันทึกคำให้การ ลำดับเรื่องราวเชื่อมโยงกันสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้อยคำไม่มีข้อพิรุธให้ระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายที่ 2 จะนึกคิดเสริมแต่งเรื่องราว ขึ้นมาปรักปรำผู้ใดให้ต้องรับโทษ อีกทั้งโจทก์ยังมีหลักฐานนาฬิกาข้อมือแบบผู้หญิง 2

เรือน ที่นาย พ. ตาผู้เสียหายที่ 2 ให้การต่อพนักงานสอบสวน ยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้มอบนาฬิกาและโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้ผู้เสียหายที่ 2 ไว้ใช้งาน โดยเฉพาะซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายที่ 2 มีรายการบันทึกหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่มีชื่อจำเลยไว้ 5 หมายเลข ซึ่งโจทก์มีพันตำรวจโท ท. พนักงานสอบสวนเบิกความรับรองว่ามีหมายเลขโทรศัพท์บันทึกชื่อจำเลยจริง เมื่อพิจารณาจากการที่ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับโทรศัพท์เคลื่อนที่และนาฬิกาที่เป็นสิ่งของมีค่าจากจำเลยเกินกว่าปกติของคนที่รู้จักกันธรรมดา ย่อมแสดงว่าผู้เสียหายที่ 2 กับจำเลยต้องมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน ยิ่งกว่านั้นตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์หญิง ป. ผลการตรวจห้องปฏิบัติการระบุว่า ตรวจพบสารประกอบในน้ำอสุจิ (แอซิคฟอสฟาเตส) บริเวณปากช่องคลอด ตรวจไม่พบตัวอสุจิ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 อายุยังไม่เกินสิบสามปีรวม 3 ครั้ง และกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 2 อายุยังไม่เกินสิบห้าปี 1 ครั้ง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสามประกอบมาตรา 80 และมาตรา 279 วรรคแรก สำหรับพฤติการณ์คดีที่ผู้เสียหายที่ 2 ไปที่ร้านจำเลยเอง แล้วจำเลยถึงล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 2 ที่ร้านจำเลยนั้น จำเลยมิได้พาผู้เสียหายที่ 2 ไปร้านจำเลยแต่อย่างใด จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานพาผู้เสียหายที่ 2 ไปเพื่อการอนาจาร แต่การที่จำเลยพยายามกระทำชำเรารวม 3 ครั้ง และกระทำอนาจารเอาแก่ผู้เสียหายที่ 2 เป็นการกระทบต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 1 ที่มีต่อผู้เสียหายที่ 2 มิให้ผู้ใดพรากไปเสียจากความปกครอง แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่า ผู้เสียหายที่ 2 ยินยอมให้จำเลยกระทำก็ตาม แต่ผู้เสียหายที่ 2 ยังไม่พ้นจากความปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 1 ผู้เป็นมารดา การกระทำของจำเลยถือได้ว่า เป็นการพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามมาตรา 317 วรรคสาม ในส่วนค่าเสียหายทางแพ่งที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดถือว่าเป็นค่าเสียหายที่เหมาะสมแล้วไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ส่วนวันทำละเมิดครั้งแรกนั้นผู้เสียหายที่ 2 ระบุว่าประมาณกลางเดือนตุลาคม 2554 ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นวันที่เท่าใด จึงเห็นสมควรให้นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป แม้ผู้ร้องที่ 2 ตามรูปคดียินยอมให้จำเลยพยายามกระทำชำเราและกระทำอนาจาร การกระทำของจำเลยก็ยังเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ผู้เสียหายที่ 1 จึงไม่สิ้นสิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยแทนผู้ร้องที่ 2 ได้ จึงเห็นควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้เป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราที่กำหนดให้เช่นเดียวกับผู้เสียหายที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และให้ยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหายที่ 1 ด้วย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก วรรคสาม ประกอบมาตรา 80 มาตรา 279 วรรคแรก มาตรา 317 วรรคแรก วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารตามฟ้องข้อ 1.1, 1.3, 1.5, 1.7 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 4 กระทงเป็นจำคุก 20 ปี ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีตามฟ้องข้อ 1.2, 1.4, 1.6 จำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามฟ้องข้อ 1.8 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 32 ปี 30 เดือน ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท และผู้เสียหายที่ 2 เป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

บทความที่น่าสนใจ

-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่

-ด่ากันทางโทรศัพท์

-ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก

-การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม

-การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

-เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น

-ซื้อที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร แล้วไปซื้อที่ดินข้างนอกที่ติดกับหมู่บ้าน
เพื่อเชื่อมที่ดินดังกล่าวเข้ากับที่ดินในหมู่บ้าน

-ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร

-ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม

-ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้

-การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน

-เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร