คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1761/2552

ฎีกาของโจทก์มิได้มีข้อความตอนใดโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่วินิจฉัยว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานปลอมตั๋วเงิน เพราะข้อความในฎีกาของโจทก์ล้วนแต่ยกเหตุผลโต้แย้งว่าจำเลยร่วมกระทำผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอม แต่มีข้อความตอนท้ายฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกปลอมตั๋วเงิน ฎีกาของโจทก์ในข้อหาความผิดฐานร่วมกันปลอมตั๋วเงินเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง

จำเลยนำเช็คซึ่งเป็นตั๋วเงินปลอมเข้าบัญชีจำเลยเพื่อเรียกเก็บเงินแทนนางยุพาโดยไม่ทราบว่าเป็นตั๋วเงินปลอม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด เป็นการขาดเจตนากระทำความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (4) และมาตรา 59 วรรคสาม วรรคสอง และวรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกับพวกใช้ตั๋วเงินปลอม

 

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 266, 268, 335, 83, 91 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาเช็ค 2 ฉบับ ราคา 10 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา บริษัทลีลานันท์ จำกัด ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2542 ถึงเดือนกรกฎาคม 2542 นายสมยศกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ร่วมรับทราบว่ามีผู้ลักเอาเช็คของโจทก์ร่วมไปหลายฉบับ และมีผู้นำเช็คดังกล่าวส่วนหนึ่งจำนวน 2 ฉบับ ไปกรอกข้อความสั่งจ่ายเงินจากบัญชีของโจทก์ร่วมจำนวน 100,000 บาท และ 300,000 บาท ตามลำดับ โดยลงลายมือชื่อนายสมยศอันเป็นลายมือชื่อปลอมและประทับตราสำคัญของโจทก์ร่วมอันเป็นตราประทับอันแท้จริง แล้วจำเลยได้นำเช็คทั้งสองฉบับนี้ไปเข้าบัญชีของจำเลยที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาบางจาก เพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คได้จ่ายเงินตามเช็คฉบับที่สั่งจ่ายเงิน 100,000 บาท ไปแล้ว ส่วนเช็คอีกฉบับหนึ่งซึ่งสั่งจ่ายเงินจำนวน 300,000 บาทนั้น ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายโดยให้เหตุผลว่า ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และคำแก้ฎีกาของจำเลยเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกับพวกปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอมตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า สำหรับข้อหาความผิดฐานร่วมกับพวกปลอมตั๋วเงินนั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลเห็นว่า จำเลยได้ร่วมทำปลอมโดยกรอกข้อความและลงลายมือชื่อปลอมของนายสมยศลงในเช็ค อีกทั้งผลการตรวจพิสูจน์ลายมือของผู้เขียนข้อความในเช็คก็น่าจะเป็นลายมือของบุคคลอื่น มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยด้วย และสรุปผลแห่งคำวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานปลอมตั๋วเงินตามฟ้อง แต่ฎีกาของโจทก์มิได้มีข้อความตอนใดโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เช่นว่านี้เลย เพราะข้อความในฎีกาข้อ 2 ของโจทก์นั้น ล้วนแต่ฎีกาคัดค้านว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอมเท่านั้น การที่โจทก์เพียงแต่ยกเหตุผลโต้แย้งคัดค้านในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอม แต่กลับมีข้อความตอนท้ายฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกปลอมตั๋วเงินด้วย เช่นนี้ ถือได้ว่าฎีกาของโจทก์ในประเด็นข้อหาความผิดฐานร่วมกับพวกปลอมตั๋วเงินตามฟ้อง เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอมตามฟ้องโจทก์หรือไม่เท่านั้น ปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมกับพยานหลักฐานของจำเลยแล้วฟังข้อเท็จจริงเชื่อตามพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบว่า คดีมีพฤติการณ์ส่อแสดงไปในลักษณะว่าจำเลยไม่ทราบว่าเช็คทั้งสองฉบับที่จำเลยนำไปเรียกเก็บเงินเป็นเอกสารปลอม จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอมตามฟ้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยไว้โดยละเอียดประกอบชอบด้วยเหตุผลทุกประการ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยโดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยซ้ำอีก ที่ศาลอุทธรณ์ยังฟังข้อเท็จจริงโดยเชื่อว่า จำเลยนำเช็คซึ่งเป็นตั๋วเงินปลอมไปเข้าบัญชีของจำเลยเพื่อเรียกเก็บเงินแทนให้แก่นางยุพาโดยไม่ทราบว่าเป็นตั๋วเงินปลอมนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด เป็นการขาดเจตนากระทำความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (4) และมาตรา 59 วรรคสาม วรรคสอง และวรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกับพวกใช้ตั๋วเงินปลอม ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

บทความที่น่าสนใจ

-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่

-ด่ากันทางโทรศัพท์

-ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก

-การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม

-การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

-เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น

-ซื้อที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร แล้วไปซื้อที่ดินข้างนอกที่ติดกับหมู่บ้าน
เพื่อเชื่อมที่ดินดังกล่าวเข้ากับที่ดินในหมู่บ้าน

-ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร

-ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม

-ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้

-การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน

-เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร

-การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ

-คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้

-ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้

-ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร

-ด่าว่า จัญไร ถอนการให้ได้

-ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ

-หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่

-การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด

-ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่

-ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร

-คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว

-การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่