ร่วมกันกู้เงินซื้อบ้านก่อนจดทะเบียนสมรสผลทางกฎหมายเป็นอย่างไร |
---|
การที่ผู้ตายและจำเลยร่วมกันกู้เงินซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 88465 พร้อมทาวน์เฮาส์ ก่อนจดทะเบียนสมรสและช่วยกันผ่อนชำระหนี้ธนาคารเข้าลักษณะเป็นหุ้นส่วนกันมาแต่เดิม แต่การถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ไม่ปรากฏว่ามีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น จึงเป็นการถือกรรมสิทธิ์รวมของผู้ตายและจำเลยคนละครึ่ง ดังนั้น เมื่อที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของผู้ตายและจำเลยมีอยู่ก่อนสมรสจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ตายและจำเลยฝ่ายละครึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 (1) ส่วนการที่ผู้ตายและจำเลยร่วมกันกู้ยืมเงินในการซื้อตอนแรกก่อนสมรส โดยนำที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ไปจำนองเป็นประกันหนี้แล้วมีการผ่อนชำระหนี้เรื่อยมาจนมีการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองมาเป็นชื่อผู้ตายกับจำเลยภายหลังจดทะเบียนสมรสนั้น เป็นเพียงขั้นตอนการชำระหนี้ของผู้ตายและจำเลยเท่านั้น ไม่อาจทำให้ที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของผู้ตายและจำเลยมาก่อนสมรสต้องกลายเป็นสินสมรส ที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์จึงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายครึ่งหนึ่ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1776/2558 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อแรกตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 140868, 134895 และ 19465 เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายครึ่งหนึ่งหรือไม่โจทก์ฎีกาว่า สัญญาจ้างพัฒนาที่ดินมีพิรุธน่าสงสัย โดยนางแน่งน้อย มารดาจำเลยและจำเลยไม่มีชื่อเกี่ยวข้องกับสัญญาจ้างพัฒนาที่ดินดังกล่าว แต่นางแน่งน้อยกลับมาแบ่งปันผลประโยชน์ให้จำเลยกับนายเรวัตร น้องชายมากกว่านายชัชวาลย์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทเพชรอนันต์ จำกัด และเป็นผู้เข้าทำสัญญาจ้างพัฒนาที่ดินดังกล่าวจึงไม่น่าเป็นไปได้ อีกทั้งเอกสารดังกล่าวไม่ได้ประทับตราและลงลายมือชื่อรับรองจากเจ้าหน้าที่กับไม่ได้กำหนดผลประโยชน์ของผู้รับจ้างที่แน่นอนจึงไม่น่าเชื่อถือ และจำเลยนำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาซื้อขายที่ดิน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เห็นว่า ตามสำเนารายชื่อผู้ถือหุ้น แผ่นที่ 6 มีชื่อนางแน่งน้อยเป็นผู้ถือหุ้น 19,000 หุ้น จาก 20,000 หุ้น ผู้ถือหุ้นที่เหลือล้วนแต่เป็นบุคคลในครอบครัวของนางแน่งน้อยทั้งสิ้น ถือเป็นธุรกิจในครอบครัวของนางแน่งน้อย และแสดงว่านางแน่งน้อยผู้เป็นมารดาย่อมเป็นผู้มีบทบาทและอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวดังกล่าว ดังนั้นการที่นายชัชวาลย์ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทเพชรอนันต์ จำกัด เป็นผู้เข้าทำสัญญาจ้างพัฒนาที่ดินดังกล่าว โดยนางแน่งน้อยและจำเลยไม่มีชื่อ แล้วต่อมานางแน่งน้อยแบ่งผลประโยชน์ให้แก่จำเลย นายเรวัตรและนายชัชวาลย์ตามที่ปรากฏโดยได้ความตามคำเบิกความของนายชัชวาลย์ว่าเป็นการแบ่งผลประโยชน์ให้แก่คนในครอบครัวตามส่วนและตามความต้องการของมารดา กรณีจึงหาเป็นพิรุธแต่อย่างใดไม่ สำหรับเอกสารสัญญาจ้างพัฒนาที่ดินดังกล่าวระบุว่า นายชัชวาลย์เป็นผู้รับจ้าง มิใช่บริษัทเพชรอนันต์ จำกัด จึงหาจำต้องประทับตราใด ๆ และปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวมีเจ้าพนักงานที่ดินชำนาญงานซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ได้รับรองถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นอันเพียงพอในการที่จะนำมาแสดงแล้ว นอกจากนี้เอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุถึงผลประโยชน์ของผู้รับจ้างไว้ชัดเจนแล้วว่าผู้ว่าจ้างจะต้องทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้รับจ้างเป็นการตอบแทน ทั้งการนำสืบพยานบุคคล ของจำเลย เป็นการนำสืบถึงความเป็นมาอันแท้จริงของสัญญาซื้อขายที่ดินว่าเพราะเหตุใดจึงมีชื่อจำเลยเป็นผู้รับโอน ในชั้นนี้ไม่ใช่การโต้เถียงเพื่อบังคับตามสัญญาซื้อขายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายแต่อย่างใด กรณีไม่เป็นการนำสืบเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
|
มาตรา 94 ส่วนที่โจทก์ฎีกาในส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 19465 ว่า จำเลยนำสืบพยานปากนายชุ่มและพยานเอกสาร เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาซื้อขายที่ดิน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นอกจากนี้นายเสนาะ พยานจำเลยเบิกความตอบทนายจำเลยและโจทก์ถามค้านว่า เคยเห็นจำเลยและภริยาไปดูที่ ภริยาจำเลยเคยถามอัตราค่าเช่านาจากพยาน หลังจากจำเลยและภริยาซื้อที่ดินที่พยานทำนาแล้ว อนุญาตให้พยานทำนาต่อโดยเก็บค่าเช่าอัตราเดิม จึงน่าเชื่อว่าจำเลยและภริยาร่วมกันซื้อที่ดินมานั้น เห็นว่า การที่จำเลยนำสืบพยานจำเลยปากนายชุ่มและพยานเอกสารดังกล่าวไม่เป็นการนำสืบเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาซื้อขายที่ดิน ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับที่ได้วินิจฉัยในฎีกาตอนแรกแล้ว จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 สำหรับนายเสนาะพยานจำเลยอีกปากนั้นก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามติงแล้วว่า ก่อนที่นายชุ่มจะขายที่ดิน พยานเห็นแต่มารดาจำเลยไปดูที่ดินเท่านั้น พยานเห็นภริยาจำเลยไปดูที่ดินหลังจากโอนเป็นของจำเลยแล้ว จำเลยเป็นผู้ให้พยานเช่าทำนาต่อ มิใช่ภริยาจำเลยและจำเลยเป็นคนเก็บค่าเช่า ภริยาจำเลยไม่เคยมาเก็บค่าเช่าตามลำพัง เช่นนี้จึงไม่มีพฤติกรรมที่จะบ่งชี้แสดงว่า จำเลยและภริยาร่วมกันซื้อที่ดินมาดังที่โจทก์ฎีกาอ้างแต่อย่างใด ดังนั้นจึงรับฟังได้ว่า จำเลยได้รับการยกให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 140868 และ 134895 มาจากนางแน่งน้อยกับนางแน่งน้อยเป็นผู้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 19465 แล้วยกให้แก่จำเลย ที่ดินทั้งสามแปลงนี้ไม่ใช่ทรัพย์มรดกของผู้ตาย ดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
บทความที่น่าสนใจ-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่ -ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก -การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม -การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร -เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น -ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร -ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม -ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้ -การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน -เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร -การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ -คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้ -ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้ -ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร -ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ -หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่ -การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด -ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่ -ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร -คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว -การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่
|