|
มาตรา 127 โจทก์จึงต้องมีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักมั่นคงและน่าเชื่อถือเพื่อให้รับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ แต่พยานโจทก์ทุกปากไม่ได้รู้เห็นการแจ้งเกิดและไม่ทราบเหตุผลที่มีการแจ้งเกิดว่าโจทก์เป็นบุตรของนายแข้น ที่นางแพงศรีพยานโจทก์เบิกความถึงเหตุผลในเรื่องนี้ว่า เหตุที่รายการทะเบียนราษฎรระบุชื่อนายแข้นเป็นบิดาของโจทก์น่าจะเกิดจากความคับแค้นใจของนางบุญชูที่ถูกเจ้ามรดกทิ้งไปมีภริยาใหม่จึงแจ้งดังกล่าว ก็เป็นเหตุผลตามความคิดเห็นของพยานซึ่งไม่เป็นการแน่นอนว่าจะเป็นความจริงเช่นนั้น ตัวโจทก์เองก็ไม่ได้เบิกความถึงเรื่องดังกล่าว ทั้งยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า นายแข้นเป็นผู้ไปแจ้งต่อนายทะเบียนว่าโจทก์เป็นบุตรของนายแข้นและให้การอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ จึงเห็นได้ว่าหากโจทก์ไม่ใช่บุตรของนายแข้นจริง นายแข้นก็ไม่น่าจะไปแจ้งเช่นนั้นเพราะบุคคลทั่วไปย่อมทราบดีว่าการแจ้งว่าบุคคลใดเป็นบิดาของเด็กเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งทั้งต่อตัวเด็กและบิดาตลอดจนครอบครัว เหตุผลตามที่อ้างจึงผิดปกติวิสัยของวิญญูชนทั่วไปและขัดต่อเหตุผล พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอหักล้างสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวได้ ส่วนข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าเจ้ามรดกรับรองว่าโจทก์เป็นบุตรของตนโดยการยอมให้ใช้ชื่อสกุลนั้น เมื่อปรากฏว่านายแข้นใช้ชื่อสกุลเดียวกับเจ้ามรดก การที่โจทก์ใช้ชื่อสกุลเดียวกับเจ้ามรดกจึงไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานที่แสดงว่าเจ้ามรดกยินยอมให้ใช้ชื่อสกุลของเจ้ามรดก ที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เจ้ามรดกอุปการะเลี้ยงดูโจทก์โดยมารับโจทก์ไปอยู่อาศัยด้วยตั้งแต่โจทก์อายุ 16 ปี จนกระทั่งโจทก์สมรส นั้น โจทก์ไม่มีพยานที่เป็นญาติฝ่ายเจ้ามรดกหรือพยานคนกลางมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงในส่วนนี้เลย พยานโจทก์มีเพียงญาติฝ่ายมารดาของโจทก์กับเพื่อนของสามีโจทก์ จึงมีน้ำหนักน้อย ทั้งพยานโจทก์ดังกล่าวก็ไม่ได้รู้เห็นและเบิกความถึงพฤติการณ์ของเจ้ามรดกในเรื่องนี้เลย ส่วนที่โจทก์อ้างพฤติการณ์ของเจ้ามรดกที่ว่า เจ้ามรดกยกที่ดินพิพาทให้โจทก์กับนายประยูรใช้ทำมาหากินเป็นโรงงานขนมจีนนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่นายประยูรออกจากที่ดินพิพาท ก็ไม่ปรากฏว่ามีการยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้แต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์อ้างว่า โจทก์อุปการะเจ้ามรดกกับจำเลยที่ 1 โดยทำประกันชีวิตให้แก่จำเลยที่ 1 นั้นก็ปรากฏตามกรมธรรม์ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน โดยโจทก์เกี่ยวข้องเป็นผู้รับประโยชน์เท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว ซึ่งจะมีผลทำให้โจทก์เป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอแบ่งมรดกของเจ้ามรดก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ บทความที่น่าสนใจ-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่ -ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก -การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม -การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร -เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น -ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร -ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม -ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้ -การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน -เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร -การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ -คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้ -ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้ -ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร -ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ -หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่ -การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด -ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่ -ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร -คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว -การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่
|