|
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงไม่มีอำนาจฟ้องดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชี ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2534 ต้นเงิน 113,213.21 บาท หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระแก่โจทก์ 41 ครั้ง เป็นเงิน 117,621.72 บาท โจทก์นำไปหักชำระดอกเบี้ยที่ค้าง 257,690.32 บาท แล้ว คงเหลือดอกเบี้ยค้างชำระถึงวันฟ้องเป็นเงิน 140,068.60 บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ย 253,281.81 บาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยที่ค้างชำระได้ไม่เกิน 5 ปี และจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์มากกว่าจำนวนหนี้ที่ค้างชำระ โจทก์ก็ได้ยื่นอุทธรณ์โดยแสดงวิธีคำนวณนำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระในแต่ละครั้งไปหักชำระดอกเบี้ยก่อน ส่วนที่เหลือจึงนำไปหักชำระต้นเงิน คงเหลือต้นเงินค้างชำระ 37,247.10 บาท และดอกเบี้ย 17,623.45 บาท รวมเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จำนวน 54,871.55 บาท การใช้สิทธิฟ้องคดีของโจทก์เป็นไปโดยสุจริต โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า ในวันหักทอนบัญชี ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2534 จำเลยที่ 1 ค้างชำระต้นเงินแก่โจทก์จำนวน 113,213.21 บาท ตรงตามที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ส่วนที่แตกต่างกันคือ จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระ โดยโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ 41 ครั้ง เป็นเงิน 117,621.72 บาท ขณะที่จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ 44 ครั้ง เป็นเงิน 217,799.72 บาท ซึ่งคิดคำนวณแล้วปรากฏว่าจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระในแต่ละครั้งดังที่โจทก์อ้างนั้น สามารถนำไปหักชำระดอกเบี้ยที่ค้างได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 ค้างชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเวลาหลายปี ทำให้มีดอกเบี้ยค้างชำระจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้โจทก์จึงนำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระมาทั้งหมดไปหักออกจากดอกเบี้ยที่ค้างชำระในคราวเดียว เพราะจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระในแต่ละครั้งสามารถหักชำระดอกเบี้ยได้เพียงบางส่วน ไม่มีส่วนที่เหลือที่จะนำไปหักชำระต้นเงินได้ การหักชำระหนี้ของโจทก์ไม่ได้ฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 วรรคหนึ่ง แต่ประการใด ทั้งปรากฏว่านอกจากการชำระเงินทั้ง 41 ครั้งตามฟ้องแล้ว จำเลยที่ 1 ยังชำระเงินให้โจทก์อีก 3 ครั้ง เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2538 จำนวนเงิน 2,000 บาท และ 96,178 บาท และวันที่ 29 กันยายน 2543 จำนวนเงิน 2,000 บาท โดยที่การชำระเงินในวันที่ 23 พฤษภาคม 2538 รวม 98,178 บาท สามารถนำไปหักชำระดอกเบี้ยที่ค้างได้ทั้งหมด กับหักชำระต้นเงินได้บางส่วน มีผลทำให้การชำระเงินในครั้งต่อ ๆ มาของจำเลยที่ 1 เป็นการชำระต้นเงินด้วย ยอดต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระ จึงลดลงต่ำกว่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องมาก โจทก์ก็ได้ยื่นอุทธรณ์แสดงวิธีการคำนวณที่ถูกต้อง โดยนำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระทั้ง 44 ครั้ง ไปหักชำระจากดอกเบี้ยที่ค้างก่อน ส่วนที่เหลือจึงนำไปหักชำระต้นเงินแนบมาท้ายอุทธรณ์คิดเป็นทุนทรัพย์ 54,871.55 บาท โดยไม่ปรากฏว่าการที่โจทก์มิได้นำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระทั้ง 3 ครั้ง ไปหักชำระหนี้เกิดจากความไม่สุจริตหรือมีเจตนาเอาเปรียบจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด ดังนั้น การที่โจทก์มิได้นำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระทั้ง 3 ครั้ง ดังกล่าวไปหักชำระหนี้เกิดจากความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลทางบัญชีหรือในการตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีอันเป็นความผิดพลาดเล็กน้อยมากกว่าที่จะมีเจตนาเอาเปรียบจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ พฤติการณ์ของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาว่า การที่โจทก์แนบตารางสรุปการผ่อนชำระหนี้มาท้ายอุทธรณ์ โดยมิได้นำสืบพยานเอกสารเป็นการอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยมาไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์และจำเลยทั้งสองโต้เถียงกันว่า หลังจากครบรอบบัญชีในวันที่ 29 ตุลาคม 2534 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์รวม 41 ครั้ง แต่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า ได้โอนเงินชำระหนี้ให้โจทก์รวม 44 ครั้ง ตามต้นฉบับใบฝากเงินและใบรับฝากเงิน ซึ่งมีรายละเอียดบางรายการที่จำเลยทั้งสองไม่มีหลักฐาน แต่โจทก์ยอมรับ การที่โจทก์แนบตารางสรุปการผ่อนชำระหนี้มาท้ายอุทธรณ์เพื่อแจกแจงรายละเอียดการคิดคำนวณ เพื่อให้เห็นว่ามีการหักชำระอย่างไร อันเป็นการอธิบายให้เห็นรายละเอียดการคำนวณมิใช่เป็นการอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยและคำแก้ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า หนี้ของโจทก์ในส่วนของดอกเบี้ยขาดอายุความบางส่วนหรือไม่นั้น ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ บทความที่น่าสนใจ-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่ -ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก -การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม -การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร -เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น -ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร -ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม -ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้ -การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน -เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร -การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ -คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้ -ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้ -ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร -ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ -หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่ -การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด -ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่ -ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร -คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว -การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่
|